การจะทำธุรกิจ e-Commerce ให้เติบโตในยุคนี้ กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตลาดออนไลน์วันนี้ไม่ต่างอะไรกับ Red Ocean ที่เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย ถ้าการตลาดของใครไม่เจ๋งพอ หรือช่องทางออนไลน์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมีอยู่จำกัด แม้กระทั่งการจัดการระบบหลังบ้านที่ไม่ดีพอ สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณไม่สามารถแข่งขันได้ แล้วถ้า SME คิดจะแกร่งในตลาด e-Commerce ต้องทำอย่างไร?
ต้องเข้าถึงลูกค้าให้ได้ในทุกช่องทาง
อย่างที่ผ่านมาผู้ประกอบการหลาย ๆ คน คิดเพียงว่าแค่มี Facebook Page ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจไปได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่คุณมีช่องทางการขายที่จำกัด อาจกลายเป็นการปิดกั้นโอกาสของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นการมองหาช่องทางออนไลน์ที่หลากหลายมากกว่าโซเชียลมีเดีย เพื่อที่จะทำให้คุณเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างได้ อย่างการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ก็นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเว็บไซต์เปรียบเสมือนบ้านของตัวเอง ที่คุณสามารถออกแบบทุกอย่างได้เองทั้งหมด สามารถนำเสนอตัวตนของธุรกิจให้ลูกค้าได้รู้จักผ่านหน้าเว็บไซต์ สามารถนำเสนอสินค้าได้ง่าย ๆ ผ่าน Catalog หรือจะลงขายสินค้าให้ลูกค้าสั่งซื้อได้สะดวกในทันที ไม่ต้องรอแชทและสอบถามรายละเอียดเหมือนการซื้อผ่านโซเชียลมีเดีย ก็ทำได้เช่นกัน
มีระบบจัดการหลังบ้านที่เอื้อให้การทำธุรกิจออนไลน์โต
เมื่อธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องมีหลากหลายช่องทางที่จะเข้าถึงลูกค้า สิ่งที่ต้องมีตามมาคือ ระบบการจัดการหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพ สามารถเอื้อให้ทุก ๆ ช่องทางการขาย ไม่ว่าจะเป็น e-Commerce, Mobile Commerce หรือ Social Commerce มีความคล่องตัวและทำให้ธุรกิจเติบโตได้ แต่ที่ผ่านมาระบบการทำงานของ SME ส่วนใหญ่ยังเป็นแบบ Manual ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย เช่น ยอดสั่งซื้อที่เข้ามาจากหลายช่องทาง อาจทำให้การตัดสต็อกผิดพลาดได้ หรือการจัดส่งสินค้าเกิดความล่าช้า และอีกสารพัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา หากคุณไม่มีระบบจัดการที่ดีพอ
ถึงแม้การเพิ่มช่องทางเว็บไซต์เพื่อสร้างความหลากหลายในการเข้าถึงลูกค้า และการสร้างระบบหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ธุรกิจ e-Commerce ของคุณแข็งแกร่งและแข่งขันได้ แต่ปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการ SME หลาย ๆ รายที่มักพบอยู่เสมอ นั่นคือ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ขาดความรู้ในการจัดทำ หรือพัฒนา ปรับปรุงเว็บไซต์ ทำให้ต้องเสียเวลาอย่างมากเพื่อศึกษาวิธีการทำ หรือการจัดการเว็บไซต์ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับเรื่องของระบบหลังบ้านที่ส่วนใหญ่ยังใช้ระบบ Manual ในการจัดการ ทำให้เสียทั้งเวลาและแรงงานในการดำเนินการ
ดังนั้นถ้าโจทย์ของการทำธุรกิจ e-Commerce ของคุณในวันนี้ คือต้องการจะยืนหยัดแข่งขันในตลาด Red Ocean ให้ได้ ถึงเวลาที่คุณต้องพยายามปิดจุดอ่อน หรือแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ให้ได้ แต่ถ้าคุณยังไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเอง อาจต้องมองหาตัวช่วยอีกแรงหนึ่ง
ระบบร้านค้าสำเร็จรูป ทางเลือก e-Commerce สำหรับ SME
สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่มีข้อจำกัดในเรื่องความรู้ด้านการพัฒนาหรือปรับปรุงเว็บไซต์ และไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันมีผู้ให้บริการที่จะทำให้ SME สามารถดำเนินธุรกิจออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ BentoWeb เป็นระบบร้านค้าสำเร็จรูปพร้อมเครื่องมือจัดการร้านแบบเต็มรูปแบบที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นกับ e-Commerce, Mobile Commerce และ Social Commerce ของตัวเองได้ง่าย ๆ ในขั้นตอนเดียว
เพียงแค่สมัครเปิดร้าน ใส่ข้อมูลของร้านและสินค้า ระบุค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง ก็เริ่มต้นใช้งานได้ทันที คุณยังสามารถกำหนดนโยบายต่าง ๆ ได้เอง เช่น ต้องการรองรับลูกค้าชาวต่างชาติ ต้องการตัดสต็อกสินค้ารูปแบบไหน ที่สำคัญแพลตฟอร์มของ BentoWeb ยังรองรับการจ่ายเงินครอบคลุมหลายรูปแบบ ไม่จำกัดแค่การโอนเงินผ่านธนาคารอีกต่อไป และหากต้องการให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณเชื่อมต่อกับ Facebook Page ก็ทำได้ง่ายเช่นกัน เมื่อทำการสมัครเปิดร้านค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในระบบหลังร้านของ BentoWeb จะมีฟังก์ชั่นให้เชื่อมต่อกับ Facebook Shop ได้ในทันที
นอกจากนี้ ยังมีบริการที่ช่วยให้ธุรกิจลดปัญหาปวดหัวเรื่องระบบหลังบ้านด้วย BentoDelivery บริการคลังสินค้าและการจัดส่ง ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลาและแรงงานกับการจัดการหลังบ้าน เพียงแค่ใช้ BentoDelivery ที่จะทำงานร่วมกับร้านค้าออนไลน์ของคุณอย่างเต็มรูปแบบ ดูแลทั้งสต็อกสินค้า การบริหารจัดการหลังบ้านทั้งออนไลน์และออฟไลน์ด้วยการเชื่อมโยงช่องทางการขายที่หลากหลายแบบ Multi Sales Channel Management ทำให้ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน ประหยัดต้นทุน มีเวลาเหลือไปพัฒนาธุรกิจให้ไปได้ไกลกว่าเดิม
บางครั้งการจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอาจต้องอาศัยตัวช่วยเข้ามาเติมเต็มธุรกิจออนไลน์ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อที่จะทำให้เรื่อง e-Commerce ที่เคยยากกลับง่ายขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่สนใจสิทธิพิเศษดังกล่าว สามารถสมัครร่วมแคมเปญได้ที่ SCB Business Center ทั้ง 5 สาขา ประกอบด้วย สยามสแควร์ ซอย 1, เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 5 (ฝั่งอิเซตัน), เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ชั้น 3 (ฝั่งโรงภาพยนตร์), สำเพ็ง และเดอะแพลทินัม แฟชั่นมอลล์ ชั้น 5 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://businesscenter.scb.co.th หรือติดตามข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวของ SCB SME ได้ที่ facebook.com/groups/scbsme
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี