ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับงานสัมมนาตลาดแห่งปี "Next Trends 2019 เปลี่ยนเทรนด์ให้เป็นอาวุธ เจาะกลยุทธ์ดิจิทัลมาเก็ตติ้ง" ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงเทรนด์ดิจิทัลในปี 2019 นี้ว่าจะมี แนวโน้มไปในทิศทางไหน ซึ่งจัดขึ้นจากความร่วมมือของนิตยสาร SME Startup และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด โดยมี ปริษา ปานะนนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการตลาด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวเปิดงานพูดถึงความพร้อมของไปรษณีย์ไทยในปีหน้าว่า ไปรษณีย์ไทย ทำทุกอย่างด้วยความมุ่งมั่น จริงใจ เพื่อสนับสนุนธุรกิจออนไลน์ให้เติบโต โดยในปีหน้าเตรียมจะพัฒนาในทุกส่วน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อที่ไปรษณีย์ไทยจะก้าวและเติบโตไปพร้อมๆ กับผู้ประกอบการ
สำหรับไฮท์ไลท์ของงานนี้ ได้กูรูนักการตลาดที่เชี่ยวชาญด้านการทำ Digital Marketing ในหลากหลายมุม ตบเท้าขึ้นเวทีมาแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ SME
เริ่มต้นที่ สโรจ เลาหศิริ Chief Marketing Officer บริษัท แรบบิท ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด พูดถึง “Digital Marketing Trends รู้เทรนด์โลก รู้ทันการตลาดออนไลน์ยุคใหม่” ว่า เทรนด์ดิจิทัลอยู่กับเรามาหลายปี การทำตลาดจะทำแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว เมื่อมีดิจิทัลเข้ามา SME ต้องปรับตัวและเปิดรับ โอบกอดมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการคิดและการทำการตลาด
จากประสบการณ์ จะเจอเทรนด์บางอย่างมันเกิดซ้ำๆ คือ Same Trends, Again and Again คือเรื่องที่ทุกคนต้องทำ เช่น Mobile First, Content Marketing, Real-Time Marketing ซึ่งไม่ใช่เทรนด์แต่คือวิถีชีวิต คือเรื่องพื้นฐานไปแล้ว ดังนั้น ทุกคนต้องเข้าใจ Trend Cycle วงจรของเทรนด์ เมื่อเทรนด์เกิดขึ้น ต้องเข้าใจ ติดตาม และรู้บริบท เวลาที่มันเกิดว่าเกิดเพราะ 4 สิ่งนี้
1. ความพร้อมด้านฮาร์ดแวร์
2. ซอฟต์แวร์ต้องพร้อม
3. ความเร็วอินเทอร์เน็ตต้องรองรับ
4. ต้องถูกผลักดันด้วยองค์กรขนาดใหญ่
สรุปคือ ในยุค 30 ปีที่ผ่านมา มีเทคโนโลยีเกิดขึ้นและเปลี่ยนพฤติกรรมคนตามยุคสมัย มันเติบโตเร็วมาก ยุคของดิจิทัล แบ่งเป็น 4 ยุคด้วยกัน
1. Desktop + Internet ยุคเริ่มแรก มีคอมพิวเตอร์
2. Mobile + Social เริ่มเข้าสู่โลกโซเชียล
3. Content + Big Data คนทำข้อมูลเกิดเป็น Big Data
4. Cyber Physical ใช้เทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นและเกิดเป็น AI ที่เอา Data ไปทำงาน
ตอนนี้ประเทศไทยเราอยู่ในยุค 2 ไป 3 เรามีกำแพงเรื่องของการจัดเก็บข้อมูล ถ้าประเทศที่พัฒนาแล้ว ข้อมูลเชื่อมกัน สามารถใช้หุ่นยนต์ปลดล็อคข้อมูล ข้ามขีดจำกัดได้มากมาย
สำหรับในในปี 2019 ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเทรนด์จะไปทางไหน ? สโรจ เลาหศิริ ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่ามี 9 เทรนด์ที่น่าสนใจ คือ
1.2019 Year of Offline - Online Equilibrium การทำการตลาดใช้สื่อออนไลน์และออฟไลน์จะเข้าสู่ความสมดุล เพราะไม่มีสื่อช่องทางใดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ได้ด้วยราคาที่ถูกอีกต่อไป และเป็นปีแห่งการรวมพลังสื่อ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนให้มากขึ้น
2. The Modern- Traditional Media หลักการตลาดเดิมๆ อาจใช้ได้ดีขึ้น ปีของการใช้หลักการสื่อเก่า ปรับลงช่องทางสื่อใหม่
3. Move Away from Facebook ปัญหาเรื่อง Privacy ของ Facebook ทำให้ความเชื่อมั่นถดถอย คนเล่น Facebook น้อยลง หันไปใช้ช่องทางอื่นมากขึ้น เช่น Instagram, Twitter และพฤติกรรมคนยุคใหม่ชอบโพสต์ Instagram Story จะลงเยอะแค่ไหน ก็ไม่มีใครรำคาญ
4. Ad-Block Shall Rise การเปิดเสรี non skip ad จาก youtube และโฆษณาเฟซบุ๊ก ad-break จะเป็นตัวเร่งให้ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงเป็น ad-block country คือการบล็อกโฆษณาออกไปทางทุกแพลตฟอร์ม
5. Walk the Talk การสร้างแบรนด์ดิจิทัลในปีหน้าคือการพูดให้เป็นมนุษย์และทำให้ได้ตามสัญญา
6. Evolution of Influencer ผู้มีอิทธิพลจะเปลี่ยนอีกครั้ง ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก การถือสินค้าโปรโมทจะไม่ได้ผลอีกต่อไป เกิดสิ่งใหม่คือ Celebrity ทำรายการของตัวเองมากขึ้น เช่น This is Me Vatanika สร้างฐานแฟนของตัวเองขึ้นมา แม้แต่ Micro Influencer ยังกระทบเพราะคนเริ่มดูรู้มากขึ้นว่ารับเงิน
7. Emerging Experience VR เครื่องมือ VR ไม่แพงอีกต่อไป เริ่มถูกลง แบรนด์สามารถนำ VR ใช้ในงานต่างๆ ได้มากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าจดจำ
8. Data Activation การประยุกต์ใช้ข้อมูลเพื่อการทำธุรกิจจริงจัง ปัญหาของแบรนด์คือฐานข้อมูลไม่เชื่อมกัน ข้อมูลทุกอย่างทุกช่องทางควรเชื่อมโยงกันแล้วสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้ลูกค้า ณ จุดขาย
9. Invest in Owned Assets ควรลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะถ้าไม่ลงทุนต้องจ่ายแพงขึ้นเรื่อยๆ การลงทุน มีผลตอบแทนเสมอ มูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลคือข้อมูลและข้อมูลจะสร้างประโยชน์ได้อีกมากมาย
ต่อมาที่ นพดล ศรีเกียรติขจร ประธานกรรมการ บริษัท โอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ สาขาของบริษัท ดับบลิวพีพี (ประเทศไทย) จำกัด ได้มาเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์ปี 2019 ว่า ไม่ว่าเทรนด์จะเปลี่ยนไปยังไง แบรนด์ก็ยังต้องโฟกัสที่ลูกค้าเป็นหลัก อยากมีเงินเข้ากระเป๋า ต้องมี Innovation ในเรื่อง Customer Experience โดยเครื่องมือที่ Ogilvy ใช้ในการสร้าง Customer Experience คือ DAVE ประกอบด้วย
1.Data Driven คือการหาข้อมูลลูกค้าทั้งจากการทำ Focus Group ส่งอีเมล์ไปถาม โทรไปถาม รวมถึงจากการซื้อสินค้า
2.Always on พยายามทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์ หาสิ่งที่ลูกค้าต้องการให้เจอแล้วลงทุนในสิ่งนั้น
3.Valuable หาลูกค้าที่มีคุณค่ากับแบรนด์ให้เจอ นั่นคือ คนที่มีส่วนรวมกับแบรนด์ พร้อมบอกต่อแบรนด์ มีคนติดตาม
4.Experience สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า เพื่อให้เขาเกิดพฤติกรรมการซื้อของของแบรนด์บ่อยขึ้น และเกิดความคาดหวังกับแบรนด์
อย่างไรก็ดี Ogilvy เชื่อในเรื่อง Data x Creativity x Technology และใช้ 3 สิ่งนี้ตอบคำถามทางการตลาดให้ลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ
ปิดท้ายที่ ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง พูดถึงการจับกระแส Content Marketing ทำอย่างไรให้โดนใจลูกค้า ว่า ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ใครๆ ก็มีเครื่องมือง่ายๆ สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง เฟซบุ๊ก ไลน์แอด สิ่งสำคัญ คือ เราจะทำให้แตกต่าง ไปรอดได้อย่างไร เมื่อใครๆ ก็ทำคอนเทนต์ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ซึ่งทุกวันนี้มีคอนเทนต์เกิดขึ้นมากมาย จนล้นตลาด กลายเป็น Content Tsunami มีคอนเทนต์ให้เสพมากกว่าที่จะเสพได้ เกินกว่าจะเสพ ทำให้คนเริ่มเบื่อไม่อยากอ่านคอนเทนต์ และเลือกที่จะเสพมากขึ้น
เมื่อมีคอนเทนต์มากกว่าจะเสพได้ คอนเทนต์ที่เหลือไม่มีคุณค่า ก็จะโดนเขี่ยทิ้ง ดังนั้น ในการสร้างสรรคอนเทนต์ ต้องคำนึงในเรื่องเหล่านี้
1. สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า โดยไม่ได้วัดกันที่ไลค์เยอะ แชร์เยอะ แต่อยู่ที่เป้าหมายที่แท้จริง คือ ขายของได้ ฉะนั้นไม่ว่าทำคอนเทนต์ยังไงสิ่งสำคัญ คืออย่าลืมคุณค่าที่แท้จริงของแบรนด์ ของธุรกิจ อย่าลืมจุดแข็ง
2.content uniqueness มี 2 สิ่งสำคัญ คือ เนื้อหาที่ดี และการนำเสนอที่ดี เมื่อมีเนื้อหาที่ดีแล้ว ก็ต้องมีการนำเสนอที่น่าสนใจด้วย ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้ ‘มีเนื้อหาเป็นเอก และการนำเสนอเป็นเอก’
3. content strategy ที่ผ่านมาเราทำคอนเทนต์ เพื่อเติมให้เต็มเท่านั้น เพื่อให้มีอะไรลง แต่ต่อไปต้องคำนึงถึงกลยุทธ์มากขึ้นว่าทำเพราะอะไร ทำไปเพื่ออะไร ทั้งนี้ ต้องตอบให้ได้ภายใต้ 4 คำถามสำคัญ คือ 1.why ทำไปทำไม ต้องรู้ก่อนว่าจะสร้างคอนเทนต์เพื่ออะไร 2.who ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เกิดกับใคร จะสื่อสารถึงใคร 3.what เรื่องอะไรที่จะสื่อสาร และ 4.How จะเล่าอย่างไร โดยมากแบรนด์มักจะรู้แต่ข้อนี้ว่าจะทำอะไร แต่ไม่รู้คำถามแรกว่าทำไปเพื่ออะไร
4.อย่าหวัง viral /mass impact สิ่งสำคัญ คือกลับไปตอบโจทย์คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายแท้จริงได้ไหม เราไม่จำเป็นต้องเอาใจทุกคน เพียงตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้เป็นพอ จำไว้ว่าใช้เวลาและเงินให้คุ้มค่ากับคนที่จำเป็นเท่านั้น
5. การลงทุนโปรโมทคอนเทนต์ เป็นสิ่งจำเป็น เพราะการแข่งขันทุกวันนี้สูงมาก จำไว้ว่า ธุรกิจไม่มีคำว่าฟลุค
6. การใช้ Data กับคอนเทนต์ ใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์ การยิงแอดครั้งแรกอาจทำให้คนทั่วไปเห็นยากขึ้น แต่เราก็จะรู้เป้าหมายที่แท้จริงว่าใครชอบ หรือสนใจสินค้าของเราบ้าง ให้ยิงแอดโฆษณาซ้ำกลับไปหาเขาอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ SME ต้องเริ่มทำจริงจัง และให้ความสำคัญแล้ว
7. content ecosystem กระบวนการกระจายความเสี่ยง อย่าปล่อยให้ช่องทางสื่อสารใดสื่อสารหนึ่งมามีอิทธิพลทุกอย่าง ควรกระจายไปหลายช่องทางให้ลูกค้าเลือกที่หลากหลาย
8. Paid-Own-Earn แต่ละคอนเทนต์ที่พูดโดยแต่ละคน เช่น เจ้าของแบรนด์ influencer ควรแตกต่างกัน ไม่ใช่คอนเทนต์เดียว แต่ใช้พูดได้ในทุกช่องทาง
9. content experience จำไว้ว่าคอนเทนต์เป็นเพียงแค่กลยุทธ์หนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของแบรนด์ ความจริงลูกค้าอาจไม่ได้ต้องการคอยเทนต์ แต่ต้องการประสบการณ์ที่ดีที่แตกต่างต่างหาก ตั้งแต่เขาตัดสินใจมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ - มาเป็นลูกค้าแบรนด์แล้ว - ถึงจนอาจมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ละช่วงมีความสำคัญ จำไว้ว่า ไลก์ แชร์ คอมเมนต์ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง
จงอย่าลืมว่าคุณทำคอนเทนต์ไปเพื่ออะไร นี่คือหัวใจสำคัญ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี