เมื่อ E-commerce กลายเป็นโลกธุรกิจการค้าที่ทรงอิทธิพลและมีศักยภาพอย่างมากในยุคนี้ ช่วงปลายๆ ปีแบบนี้ เริ่มมี SME หลายรายพยายามจับจ้องอยากรู้เทรนด์ล่วงหน้าว่าปี 2019 ทิศทางของ E-commerce จะไปอย่างไร มีเทรนด์ไหนที่จะเกิดขึ้นบ้าง เพื่อให้ผู้ประกอบการรู้ก่อนจะได้ปรับตัวรับมือทัน
1. ผู้ช่วยเสมือน (Virtual Assistant)
ปัจจุบันการซื้อของออนไลน์กับหน้าร้านนั้นให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ในอีกไม่ช้าโลกของ E-commerce จะทำให้เรื่องนี้นั้นแทบจะกลายเป็นสิ่งเดียวกัน จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในร้านอย่างการที่พนักงานช่วยลูกค้าหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับรสนิยมและความชอบ จะถูกหยิบยกเข้าสู่ออนไลน์ที่เมื่อลูกค้าเข้าเว็บไซต์ E-commerce จะได้รับการต้อนรับและบริการจากผู้ช่วยเสมือน หรือ Virtual Assistant ในการให้คำแนะนำผ่านทางการตั้งคำถามต่างๆ ซึ่งผู้ช่วยรายนี้จะทำให้การซื้อมีความสมจริงมากขึ้นและทำให้การตัดสินใจซื้อของลูกค้าดีขึ้น
2. เทคโนโลยีเสมือนจริง AR และ VR
การใช้เทคโนโลยีโลกเสมือนก้าวเข้าสู่โลกของความเป็นจริงเป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองสำหรับตลาด E-commerce ในปีหน้า โดยเฉพาะกับตัว Augmented Reality ที่จะช่วยให้ลูกค้าเลือกซื้อโปรดักต์โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่การซื้อมีความสมจริงมากขึ้น
3. แอปพลิเคชันบนมือถือ
จากข้อมูลของ SearchEngineLand บอกว่า เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของการค้นหาบน Google นั้นมาจากโทรศัพท์ถือมือ โดย Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาต่างๆได้ให้คำแนะนำให้ธุรกิจทำเว็บไซต์ที่เป็นมิตรต่อมือถือมากขึ้น แต่แอปพลิเคชันกลับทำผลงานได้โดดเด่นมากกว่าโดยผู้ใช้ทำการเรียกดูผลิตภัณฑ์บนแอปมือถือมากกว่าเว็บไซต์บนมือถือถึง 286 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมแอปพลิเคชันบนมือถือจะมีรายได้ถึง 189 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2563 อีกด้วย
4. การค้นหาผลิตภัณฑ์ขั้นสูง
อีกหนึ่งเทรนด์ที่ E-commerce ต้องจับตาและทำให้เกิดขึ้นจริงคือการพัฒนาช่องสำหรับใส่คำค้นหาที่ต้องแสดงผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือเมื่อทำการค้นหาไปแล้วผลลัพธ์ที่ได้ควรแสดงให้เห็นถึงโปรดักต์อื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวคีย์เวิร์ดที่ใส่ลงไปและตรงกับความสนใจของลูกค้ารายนั้นๆ
5. Machine Learning and AI
การเรียนรู้ของเครื่องจักรและปัญญาประดิษฐ์ หรือ Machine Learning and AI กำลังมีอิมแพคอย่างมากบนโลกธุรกิจ โดย Machine Learning เป็นแอปพลิเคชันที่มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าโดยพิจารณาจากข้อมูลและพฤติกรรมการซื้อครั้งก่อน และการใช้ความสามารถขั้นสูงของ AI จะช่วยให้การเข้าใจลูกค้าทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทั้งสองตัวช่วยนี้จะมีบทบาทมากขึ้นสำหรับโลก E-commerce ในปีหน้า
6. Personalisation
45 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าเลือกที่จะซื้อของบนแพลตฟอร์ม E-commerce ที่สามารถให้คำแนะนำเฉพาะคนนั้นๆได้ และ 56 เปอร์เซ็นต์ของนักช้อปออนไลน์จะกลับมาซื้อหรือใช้บริการที่ร้าน E-commerce ที่สามารถให้คำแนะนำซึ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้ารายนั้นได้ ตัวเลขนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการตลาดแบบ Personalisation ที่จะมาแรงมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า
7. โฆษณาเน้นตามความสนใจ
โฆษณาที่เน้นตามความสนใจของกลุ่มผู้บริโภคจะมีบทบาทมากขึ้นในปีหน้า อย่าง Google เองก็พยายามที่จะจัดหาโฆษณาที่ดีที่สุดให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ หรือในรายของ E-commerce ที่ให้บริการด้านการตลาดดิจิตอลก็จะสรรหาโฆษณาที่ผู้บริโภครายนั้นๆต้องการเห็น ซึ่งการใช้ Machine Learning เข้ามาช่วยจะทำให้ออกแบบโฆษณาได้ดีขึ้นและช่วยเพิ่มโอกาสการทำยอดขายและปิดการขายได้มากขึ้นอีกด้วย
8. การค้นหาด้วย “เสียง”
จากการรายงานของ Comscore บอกว่า ภายในปี 2563 กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของการค้นหาทั้งหมดนั้นจะเป็นการค้นหาด้วยเสียง ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Walmart และ Domino’s Pizza ก็หยิบเอาเครื่องมือนี้มาเป็นกลยุทธ์ในการทำการตลาดแล้ว โดยเทรนด์นี้จะเป็นอีกตัวแปรสำคัญสำหรับการออกแบบเว็บไซต์ E-commerce ให้สามารถตอบสนองกับการค้นหาด้วยเสียงในอนาคตเช่นกัน
9. ค้นหาออนไลน์แต่ซื้อออฟไลน์
82 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้มือถือทำการค้นหาร้านต่างๆเพื่อซื้อสินค้า โดย 18 เปอร์เซ็นต์ของคนกลุ่มนี้จะไปซื้อจริงภายใน 24 ชั่วโมง ดังนั้นการค้นหาออนไลน์แต่ซื้อออฟไลน์ หรือ Research Online and Purchase Offline (ROPO) นั้นจะก้าวเข้ามาเป็นเครื่องมือชี้วัดแบบใหม่ของการทำตลาดดิจิตอลที่ต้องจับตาดู
10. รูปแบบชำระเงินขั้นกว่า
การชำระเงินออนไลน์ดูเป็นอะไรที่น่ากลัวเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วแต่ตอนนี้ความหวาดกลัวนั้นค่อยๆจางหายไปเมื่อผู้คนเริ่มรู้สึกคุ้นเคยและกำลังใช้วิธีการต่างๆในการชำระเงินทางออนไลน์ สหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นประเทศที่นิยมจ่ายด้วยบัตรเครดิต/บัตรเดบิตและ PayPal มากที่สุด แต่การใช้ Wallet หรือกระเป๋าเงินออนไลน์นั้นเติบโตขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะกับ Apple Pay Walmart Pay Samsung Pay และ Android Pay ซึ่งการใช้ Wallet ช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นเรื่องที่ง่าย สะดวกรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น และด้วยการก้าวเข้ามาของ Cryptocurrency หรือสกุลเงินดิจิตอลจะทำให้ลูกค้าบน E-commerce ซื้อสินค้าและชำระผ่านทางการใช้ Cryptocurrency ได้ในอนาคต
11. ภาพลักษณ์ต้องดูดี
ภาพและการมองเห็นคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูกค้าทุกคนทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นดูดีแค่ไหน ซึ่งตอนนี้ธุรกิจออนไลน์ต่างเลือกใช้ E-commerce Theme ต่างๆที่มีภาพสวยและมีคอนเทนต์อย่างวิดีโอเข้ามาประกอบเพื่อแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าโปรดักต์ที่มีนั้นเจ๋งขนาดไหน ซึ่งเทรนด์นี้จะยิ่งเพิ่มความสำคัญให้กับการทำการตลาดในปีหน้าที่แบรนด์ทั้งหลายต้องพากันจัดแต่งหน้าร้านออนไลน์ให้ดีและให้โดนเพื่อแข่งกันดึงดูดลูกค้า
12. วิดีโอบน Hero Carousel
แน่นอนว่าวิดีโอต้องมาตามนัด ยิ่งมาจับกับโปรแกรม Hero Carousel ที่จะช่วยสร้างให้วิดีโอเป็นแบบสไลด์ได้ ซึ่งเมื่อลูกค้าเข้ามาในหน้าเว็บไซต์แล้ว ภาพเคลื่อนไหวแบบวิดีโอที่คมชัดจากเครื่องมือนี้จะช่วยดึงความสนใจของลูกค้าให้ลองคลิกดูที่ตัวโปรดักต์ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บแล้วยังช่วยเรื่องของ Conversion ได้อีกด้วย
13. Amazon และ Amazon SEO
นอกจากจะเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่อันดับสามของโลกรองจาก Walmart และ CVS แล้ว Amazon ยังเป็นเครื่องมือค้นหาหรือ Search Engine ที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของการค้นหาผลิตภัณฑ์ซึ่งจะเติบโตมากขึ้นในปีหน้าอย่างแน่นอน ส่งผลให้การทำ SEO บน Amazon เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เหล่า E-commerce ต่างๆไม่ควรพลาดหากอยากจะแข็งแกร่งบนตลาดนี้
14. ค้นหาด้วยภาพ
ในปีหน้าการค้นหาด้วยภาพ หรือ Image Search มาแน่นอน เช่น การค้นหาด้วยภาพของ eBay ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกันได้โดยใช้รูปถ่ายที่ตัวเองมี รูปภาพออนไลน์หรือบล็อก ส่วนทาง Pinterest ก็กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อทำให้การค้นหาด้วยภาพนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและแน่นอนว่าเทรนด์นี้จะมาอยู่ในโลกของ E-commerce เช่นกัน
15. การจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น
การจัดส่งในวันเดียวกันเป็นที่คาดหวังอย่างสูงของผู้บริโภคในปัจจุบันและจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในปีหน้า โดยเราจะเห็น E-commerce หันมาจับบริการนี้มากขึ้น รวมถึงนำเสนอตัวเลือกในการบริการด้านการจัดส่งที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
16. Chatbot
Chatbot เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการช่วยตอบแชทและทำการสนทนากับลูกค้า เป็นวิธีการสร้างปฏิสัมพันธ์และบริการอย่างหนึ่งที่เหมาะกับโลกดิจิตอล ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่หลายเจ้าที่นำเอาตัว Chatbot มาใช้พูดคุยกับลูกค้าแล้ว เช่น eBay SnapTravel และ Aerie
17. โซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดีย เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ทรงพลังมากสำหรับการทำ E-commerce ไม่ว่าจะเป็น Facebook Twitter หรือ Instagram ต่างเป็นหัวใจหลักในการเรียกคนเข้าสู่เว็บไซต์และเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้าง engagement กับลูกค้า โดยในปัจจุบัน Facebook Twitter Instagram Pinterest และ Snapchat ถือเป็นเครื่องมือชั้นนำด้านการทำสื่อของตลาด E-commerce ซึ่งเราจะได้เห็นโฆษณาที่เป็นแบบ Personalise มากขึ้นในช่องทางเหล่านี้เพื่อเพิ่มทราฟฟิกและ Conversion Rate
18. หน้าร้านยังไม่ตาย
แม้จะเป็นยุคของโลกออนไลน์แต่การมีหน้าร้านก็ยังคงตอบโจทย์ ซึ่งเราจะเห็นว่าร้านออนไลน์จำนวนมากต่างหันมามีร้านเพื่อให้ลูกค้าได้เห็นโปรดักต์ของจริง ได้ทดลองสินค้าและสร้างประสบการณ์ที่ดีต่างๆ
19. B2B = B2C
56 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้า B2B คาดว่าจะซื้อของมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่พวกเขาซื้อจากออนไลน์แพลตฟอร์ม โดยลูกค้า B2B มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์นั้นจะเริ่มต้นจากการค้นหาทั่วๆไปก่อน และในปีหน้าเราจะเห็นลูกค้าประเภทนี้มากขึ้นซึ่งจะไม่ต่างจากลูกค้ากลุ่ม B2C ซึ่งจะเป็นยังไงนั้นต้องลองมาดูกัน
20. ใช้งานเบราว์เซอร์น้อยลง
ในอนาคตอันใกล้เราจะเห็นถึงการใช้งานเบราว์เซอร์ลดลงเป็นอย่างมาก เมื่อแอปพลิเคชันบนมือถือเข้ามายึดครองสัดส่วนของตลาดและ E-commerce รายใหญ่ต่างหันมาสนับสนุนการใช้แอปบนมือถือกันทั้งนั้น นอกจากนี้ด้านโฆษณาก็เริ่มที่จะมุ่งไปเชื่อมต่อกับแอปบนโซเชียลมีเดียมากขึ้นอีกด้วย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี