เครื่องประดับอัตลักษณ์ของไทย
เครื่องประดับทองโบราณมีแหล่งผลิตที่สำคัญอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย อันได้แก่ จังหวัด สุโขทัย และเพชรบุรี โดยความพิเศษของเครื่องประดับทองโบราณนั้น แตกต่างจากเครื่องประดับทองทั่วไปในเรื่องค่าความบริสุทธิ์ของทองคำที่ใช้ผลิต ซึ่งมีค่าความบริสุทธิ์สูงถึง 99.5-99.99%
อีกทั้งยังมีการออกแบบลวดลายโดยใช้ศิลปะไทยใส่เข้าไปในตัวชิ้นงาน ทั้งเครื่องประดับทองของสุโขทัยและเพชรบุรีถือเป็นงานศิลปะขั้นสูงที่มีรากฐานทางความคิดในการผลิตและออกแบบลวดลายมาจากศิลปะแบบไทยแท้ที่มักเกี่ยวข้องกับศาสนา โบราณสถาน และวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน แต่ถึงกระนั้น ด้วยความที่สภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน จึงส่งผลให้เครื่องประดับทองจากทั้งสองแหล่งมีเกร็ดรายละเอียดของลวดลายหรือเทคนิคในการผลิตที่แตกต่างกันจนเกิดเป็นอัตลักษณ์ประจำท้องถิ่นที่มีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น อาทิ การผลิตเครื่องประดับทองสุโขทัยนอกจากจะได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรสุโขทัยโบราณมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายแล้ว ยังเพิ่มเทคนิคการถักทองและลงยา (Enamel) แต้มสีสันต่างๆ ได้แก่ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน และสีขาวลงไปบนตัวชิ้นงาน ขณะที่เครื่องประดับทองเพชรบุรีมีการใช้เทคนิคพิเศษผลิตแหวนตะไบที่มีลักษณะเป็นแหวนฝังพลอยซีกและมีการตะไบทั้งสองข้างของตัวเรือนให้เป็นร่องลึก การทำลวดลายลูกสน และลายปะวะหล่ำที่เกิดจากการดัดเกลียวลวดทองให้เป็นลวดลายคล้ายกับโคมไฟของจีน เป็นต้น
การผลิตเครื่องประดับเงินของไทย ส่วนใหญ่พบได้ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ น่าน รวมถึงสุโขทัย และสุรินทร์ ซึ่งสำหรับเครื่องประดับเงินของ เชียงใหม่ นั้น มีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรล้านนาโบราณ ซึ่งเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 18-21
โดยงานศิลปะแขนงต่างๆ รวมทั้งการทำเครื่องเงินมาจากแนวความคิดทางพุทธศาสนา ความเชื่อ และวรรณคดี ตลอดจนวัฒนธรรมเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวล้านนา เป็นต้น สำหรับย่านการผลิตที่สำคัญของเชียงใหม่นั้นตั้งอยู่บริเวณถนนวัวลาย (Wualai Road) ชุมชนบ้านศรีสุพรรณ (Bansrisuphan Community) อำเภอเมือง และบริเวณบ้านกาด (Bankad) ในอำเภอแม่วาง (Mae Wang District) ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร
ขณะที่จังหวัด น่าน เป็นแหล่งผลิตเครื่องประดับเงินอันมีที่มาจากวิถีชีวิต ความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวเขาชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ของจังหวัด โดยแหล่งผลิตสำคัญตั้งอยู่บริเวณอำเภอเมือง และอำเภอปัว (Pua District) ทั้งนี้ ลวดลายบนเครื่องประดับเงินของเชียงใหม่และน่านต่างก็มีความงดงามอ่อนช้อยไม่แพ้กัน หากแต่ด้วยสภาพแวดล้อมและทัศนคติของช่างฝีมือที่แตกต่างกันไปตามท้องถิ่น จึงทำให้เครื่องประดับเงินจากทั้งสองแห่งมีจุดเด่นเป็นของตนเอง โดยลวดลายของเชียงใหม่มักเกี่ยวข้องพุทธศาสนา ตำนาน ความเชื่อ วรรณคดีและวิถีชีวิตแบบล้านนา ขณะที่น่านจะเน้นลวดลายเกี่ยวกับธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวเขาที่ผูกพันกับการทำไร่บนที่ราบสูงและการหาของป่าเพื่อเลี้ยงชีพ เป็นต้น
ในส่วนของจังหวัด สุโขทัย มีแหล่งผลิตอยู่ที่อำเภอศรีสัชนาลัย (Si Satchanalai District) โดยมีกรรมวิธีการผลิตที่เป็นภูมิปัญญาประจำท้องถิ่น คือ การถักเส้นเงินเป็นเครื่องประดับ ควบคู่กับการใช้เทคนิคลงยาสีเข้าช่วย (Enamel) ซึ่งลวดลายที่ปรากฏสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรสุโขทัยโบราณซึ่งเคยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทยเมื่อราว 700 กว่าปีล่วงมา (พ.ศ. 1792-ปัจจุบัน) อาทิ ลายจากเครื่องสังคโลก (Sangkhalok Ceramic Ware) และลายจิตรกรรมฝาผนังตามโบราณสถาน เป็นต้น
สำหรับจังหวัด สุรินทร์ ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และมีอาณาเขตอยู่ติดกับประเทศกัมพูชานั้น ได้รับอิทธิพลทางศิลปะแบบขอมเข้ามา จึงทำให้การผลิตเครื่องประดับเงินของสุรินทร์ซึ่งอยู่ที่อำเภอเขวาสินรินทร์ (Khwao Sinarin District) มีรูปแบบที่แตกต่างจากแหล่งผลิตอื่นอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านเทคนิคการผลิตที่ส่วนใหญ่เป็นการทำลูกปัดแกะสลักลวดลาย และการทำรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอย่างดอกตะเกา (Takao) ซึ่งเป็นชื่อเรียกตามภาษาเขมร ตัวดอกมีลักษณะเป็นแป้นเงินกลมและมีแฉกคล้ายดวงอาทิตย์ ซึ่งช่างที่ผลิตนิยมนำลวดมาขดเพื่อตกแต่งลวดลายลงบนตัวดอกตะเกา
เครื่องถมเป็นสินค้าอัตลักษณ์ของจังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ในอดีตเครื่องถมเป็นงานหัตถศิลป์ชั้นสูงที่นิยมใช้กันในราชสำนัก แต่ปัจจุบันกลับเป็นสินค้าที่ผู้คนทางภาคใต้นิยมสวมใส่ติดตัวเพราะเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและนำความเป็นสิริมงคลมาสู่ผู้สวมใส่ ทั้งนี้ การผลิตเครื่องถมในปัจจุบันแบ่งออกเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาใช้ขึ้นรูป ส่วนใหญ่ทำจากเงินและทอง แล้วจึงแกะสลักลวดลายแบบไทยเข้าไป ซึ่งนิยมใช้ลายกนก (Lai Kanok) เป็นแม่แบบในการแกะสลักให้ตัดกับสีพื้นที่ลงไว้ด้วยน้ำยาสีดำ โดยเครื่องประดับที่ผลิตได้ส่วนใหญ่เป็นกำไลข้อมือ และแหวน