เขียน ธีรนาฎ มีนุ่น
ภาพ ชาคริต ยศสุวรรณ์
หากเอ่ยถึง “ขนมไทย” และ “ไอที” คงจะให้ภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยคำหนึ่ง สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ไทยอย่างเด่นชัด ทว่าอีกคำชัดเจนในภาพลักษณ์ของความเป็นสากล ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนอาจนึกภาพไม่ออกว่า เมื่อนำสองคำนี้มาผสมผสานกันจะก่อให้เกิดรูปร่างหน้าตาอย่างไร และเชื่อว่าคงมีผู้ประกอบการขนมไทยหลายรายที่ละเลยความสำคัญของการนำไอทีมาใช้เป็นช่องทางสร้างโอกาสทางธุรกิจ ทว่านั่นไม่ใช่แบรนด์ขนมไทยอย่าง “บ้านขนมสวย” ในแบบที่ “นิว สวัสดิ์ชูโต” เจ้าของกิจการ ในวัย 20 ต้นๆ ต้องการ
ทายาทรุ่นที่ 3 ของบ้านขนมสวยเล่าว่า ธุรกิจนี้สืบทอดมายาวนานกว่า 50 ปี ทว่าการนำไอทีเข้ามาใช้ในธุรกิจเพิ่งเริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา ด้วยในช่วงเวลานั้นเว็บไซต์ หรือช่องทางออนไลน์เริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทในหลายๆ ธุรกิจ ซึ่งด้วยเป็นช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ในต้นทุนต่ำ แต่ก่อให้เกิดการกระจายข้อมูลในระดับสูง ประกอบกับความต้องการขยายฐานลูกค้า จากจุดนั้นจึงจุดประกายความคิดเกิดการสร้างเว็บไซต์ ภายใต้ชื่อ www.baankanomsuay.com สร้างแบรนด์ขนมไทยให้โลดเล่นอยู่ในโลกออนไลน์ ขนมไทยแบรนด์นี้จึงมีความทันสมัยตามแนวคิดของผู้บริหารรุ่นใหม่
“ที่ผ่านมา ธุรกิจของเรามุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าประจำ จึงเกิดปัญหาในเชิงที่ว่า หากลูกค้าไม่กลับมาซื้อ จะส่งผลกระทบอย่างมาก ด้วยเราเป็น SME มีลูกค้าไม่มากนัก เมื่อลูกค้าหายไปจึงส่งผลต่อกำไรของเรา เราจึงต้องหาช่องทางจัดจำหน่าย และการรับรู้แบบใหม่ ในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ เพื่อให้ธุรกิจของเราอยู่รอดและไปต่อได้ นั่นเป็นการตอบคำถามว่าทำไมเราจึงนำไอทีเข้ามาใช้ในธุรกิจ”
ไม่เพียงแต่ข้อดีเรื่องต้นทุนต่ำ นิวมองว่า ไอที กลับมีความเหมาะสมกับธุรกิจขนมไทยของตนมากกว่าการวางขายตามห้างร้านที่มีอยู่มากกมาย ด้วยความที่ขนมไทยไม่ใช่ขนมกินเล่น แต่จะเป็นขนมเพื่อเทศกาลต่างๆ ทำให้บ้านขนมสวยมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจในรูปแบบขนมของฝาก การจำหน่ายจึงมีลักษณะ Made to Order เป็นหลัก ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องสินค้าค้างสต๊อก เว็บไซต์จึงเป็นช่องทางที่ลงตัว และคุ้มค่า
“หลักๆ เราใช้ไอทีเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ เพราะว่าเราไม่มีหน้าร้าน เราเป็น SME ประกอบธุรกิจที่บ้าน เว็บไซต์จึงเป็นเสมือนหน้าร้านของเรา โดยเริ่มนำไอทีมาใช้ตั้งแต่ปี 2554 เมื่อทำการวัดผลหลังจากนั้นปรากฏว่ามีอัตราการเติบโตถึงประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวม นอกจากนี้ ลูกค้าใหม่ๆ ก็จะมาจากทางเว็บไซต์ และโซเชียลมีเดียมากขึ้น ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้โดยชัดเจน”
เมื่อถามว่าการนำไอทีมาใช้กับธุรกิจขนมไทยยากหรือไม่ ผู้บริหารหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ยาก” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จำเป็นต้องสร้างเรื่องราวให้กับแบรนด์ ด้วยช่องทางไอทีช่วยให้การบอกต่อแบบ “ปากต่อปาก” เกิดขึ้นได้ง่าย ยิ่งสินค้าใดมีเอกลักษณ์โดดเด่น ก็สามารถกระจายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น สิ่งที่บ้านขนมสวยพยายามทำควบคู่กัน คือพยายามสร้างรูปลักษณ์ และการจัดวางที่แตกต่างออกไป
“เรานำขนมที่มีอยู่ทั่วไปมาใส่การประดิดประดอย และเรื่องราว ทำให้การบอกต่อปากต่อปากง่ายขึ้น ช่วยลดต้นทุนด้านการโฆษณาได้มากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความนิยมอย่างล้นหลามกับช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์กเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้การบอกต่อกระจายได้รวดเร็วมากขึ้น ทางเราเองก็ใช้ช่องทางตรงนี้มาช่วยรองรับเว็บไซต์”
นิวขยายความว่า การเกิดขึ้นของโซเชียลเน็ตเวิร์ก ช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง เป็นเสมือนช่องทางให้ได้พบปะพูดคุยกับลูกค้า สร้างความใกล้ชิดให้กับผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้มากขึ้น ซึ่งผลดีคือสามารถนำคำติชมมาพัฒนาธุรกิจต่อไป และเป็นสังคมช่วยให้ลูกค้ามีความภัคดีต่อแบรนด์ ทว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เขาแนะนำว่าต้องสร้างให้เว็บเพจของแบรนด์มี “ความเป็นมนุษย์” มากขึ้น
“สำหรับ SME ที่กำลังหันมาใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม หรืออะไรก็แล้วแต่ หากสิ่งสำคัญคือจะต้องสร้างแบรนด์ของเรามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ในความหมายนี้ก็คือ ถ้าเรานึกถึงสมัยก่อน การซื้อขายบนเว็บไซต์ เป็นเพียงการซื้อขายธรรมดา แต่เมื่อมีช่องทางนี้เข้ามา การซื้อขายจะลึกซึ้ง ทำให้เรารู้ว่าลูกค้าเราคือใคร ชอบหรือไม่ชอบอะไร ใครคือคนที่คอยสนับสนุน หรือแชร์ลิงก์ของเรา เราจึงต้องสร้างเพจเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง สร้างบทสนทนาทำให้แบรนด์เรามีชีวิต และดูแลใส่ใจลูกค้า ซึ่งตรงนี้จะรักษาลูกค้าไว้กับเราได้ และสามารถถามความคิดเห็นสำหรับการสร้างสินค้าใหม่ๆ ผมมองว่าการทำแบบนี้เหมาะสำหรับหลายๆ ธุรกิจ ไม่มีข้อยกเว้น แม้จะเป็นธุรกิจแบบซึ่งขายระหว่างองค์กร หรือ B2B”
อย่างไรก็ตาม นิวกล่าวว่า ไอทีอาจจะเป็นช่องทางอันมีประสิทธิภาพสำหรับการเริ่มต้นของ SME ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนากลยุทธ์อื่นๆ ควบคู่กัน สำหรับเขามองว่า SME ที่มีลูกค้าในวงจำกัดอย่างเช่น ขนมไทย การเน้นกลยุทธ์การตลาดแบบ SEO หรือ Search Engine Optimization ใน Google จะมีความสำคัญ เพราะจะทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับต้นๆ ซึ่งหลังจากประสบความสำเร็จกับกลยุทธ์ในการค้นหาคำ เขากำลังพัฒนาวิธีเดียวกันมาใช้กับการค้นหารูปภาพ
“ก้าวต่อไป เราก็จะพัฒนาไอทีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ หาคนที่มีความสามารถมาดูแลในส่วนนี้ และอัพเดตข้อมูลใหม่อยู่ๆ เสมอ ซึ่งเราต้องบอกว่าเรื่องของคอนเทนต์สำคัญ และต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดลูกค้า สร้างความเคลื่อนไหว และต้องออกแบบคอนเทนต์ให้มีความน่าสนใจให้ลูกค้าแชร์ลิงก์ของเราได้ เพราะเราจะเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์แบบปากต่อปาก”
ทุกธุรกิจสามารถนำไอทีมาใช้เป็นช่องทางสื่อสารแบรนด์ได้ อีกทั้งยังสร้างโอกาสมากมาย หากไม่รู้ว่าจะนำมาใช้อย่างไร ก็ลองดูบ้านขนมสวยเป็นตัวอย่าง!!!