เรื่อง นเรศ เหล่าพรรณราย
ปฎิเสธไม่ได้ว่า Video Content เป็นกระแสที่มาแรงที่สุดในปีที่ผ่านมาบนโลกออนไลน์ รวมถึงปีนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Facebook ที่ประกาศให้ Video Content เป็นภารกิจหลักประจำปีนี้เลยทีเดียว ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องศึกษาการทำการตลาดผ่านช่องทางดังกล่าวอย่างจริงจัง
โดย Facebook ได้ประกาศว่าปีที่ผ่านมา มีการถ่ายทอดสดและมีผู้ชมแล้วกว่า 100ล้านชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้ Facebook ได้ประกาศว่าจะเพิ่มโอกาสในการเห็นคอนเทนท์ประเภทวีดีโอบน Newsfeed มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลิปวีดีโอหรือการถ่ายทอดสด และไปลดทอนการเห็นคอนเทนท์ทั่วไปอย่างภาพและข้อความลง ขณะเดียวกันยังได้เพิ่มรูปแบบการถ่ายทอดสดให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น ถ่ายทอดเฉพาะเสียง เป็นต้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ Facebook เตรียมที่จะทดลองระบบโฆษณาผ่านคลิปวีดีโออย่างจริงจัง จากเดิมที่ระบบการแบ่งรายได้ให้กับเจ้าของคลิปมีเฉพาะใน Youtube เท่านั้น หมายความว่าต่อไป ผู้ที่ผลิตคลิปโฆษณาที่มีจำนวนผู้ชมจำนวนมาก ก็จะมีรายได้เสริมทางอื่นอีกด้วย
นักวิเคราะห์ด้านการตลาดออนไลน์ ประเมินว่า Facebook จะหักรายได้จากโฆษณา 45% ให้เจ้าของคลิป โดย 55% จะเป็นรายได้ของ Facebook เอง รูปแบบของโฆษณาจะเป็นคลิปที่ขึ้นมาแทรกระหว่างที่ถ่ายทอดสด ความยาวไม่เกิน 15 วินาที ปัจจุบันมีผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ที่เริ่มทดลองใช้โฆษณาดังกล่าวแล้ว
ส่วนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ถือเป็นโอกาสที่จะสร้างรายได้เสริมให้กับธุรกิจจากการขายโฆษณาออนไลน์ได้เช่นกัน จากเดิมที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายฝ่ายเดียว แถมยังเป็นการเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าและแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ข้อดีของการชมถ่ายทอดสดหรือคลิปวีดีโอบน Facebook คือเป็นช่องทางที่ผู้ชม “ไม่ได้ตั้งใจ” ที่จะรับชมคอนเทนท์แบบเฉพาะเจาะจง ต่างจาก Youtube ที่ผู้ชมมักจะตั้งใจเข้าไปชมคอนเทนท์ เหมือนกับดูรายการโทรทัศน์ย้อนหลัง หมายความว่า ผู้ประกอบการมีโอกาสที่จะเผยแพร่คอนเทนท์ให้กับกลุ่มผู้ชมได้ในวงกว้าง
รูปแบบการนำเสนอคอนเทนท์ น่าจะเป็นรูปแบบของการให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือสินค้าของเรา เช่น ถ้าเราขายสินค้าทางการเกษตร ก็น่าจะให้ความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของสินค้าว่าให้คุณค่าอย่างไรต่อสุขภาพมากกว่าที่จะขายคุณสมบัติของสินค้าโดยตรง
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่พอมีงบประมาณด้านการตลาดออนไลน์ ควรที่จะผลิต Video Advertise เพื่อนำมาใช้กับการฟีดบน Facebook โดยเฉพาะ โดยมีความยาวไม่เกิน 15 วินาที หรือสั้นที่สุดคือความยาว 5 วินาที โดยกระชับเนื้อให้สื่อสารตรงถึงผู้บริโภคฉับไวที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้ชมเกิดความเบื่อหน่าย
คลิปโฆษณาดังกล่าว หากสามารถผลิตให้มีความน่าสนใจก็จะเกิดการแชร์ต่อจนมีโอกาสที่จะสร้างรายได้จากคลิปได้อีกทางหนึ่งด้วย เรียกได้ว่าปิดช่องว่างที่เอสเอ็มอีไม่เคยมีโอกาสเข้าถึงการโฆษณาทางฟรีทีวีเหมือนในอดีต อีกทั้งต้นทุนการผลิตคลิปวีดีโอออนไลน์ก็สามารถกำหนดได้ว่าจะให้อยู่ในระดับพรีเมี่ยมเท่ากับการผลิตสปอตโฆษณาทีวี หรือแบบประหยัดแต่ได้ผลสูงก็ได้เช่นกัน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี