เรื่อง : ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช
ผู้เชี่ยวชาญการตลาดดิจิตอล
สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ทำโฆษณาออนไลน์อย่าง Google AdWords อาจจะเกิดคำถามในใจว่า ก็ในเมื่อต้องซื้อโฆษณาที่ทำให้ธุรกิจปรากฏในหน้าผลลัพธ์การค้นหาในตำแหน่งที่ดีอยู่แล้ว ทำไมยังต้องทำ SEO (Search Engine Optimization) ที่หมายถึงการทำให้ธุรกิจไปปรากฏในผลลัพธ์การค้นโดยธรรมชาติอีกด้วย คำตอบก็คือ นอกจากจะเป็นการย้ำแบรนด์ให้เป็นที่จดจำแล้ว (เนื่องจากผู้ใช้จะมีโอกาสเห็นแบรนด์ของเราอย่างน้อย 2 ครั้ง) ยังเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะคลิกสูงอีกด้วย โดยเฉพาะลิงก์ที่ปรากฏในอันดับธรรมชาติ เท่ากับช่วยประหยัดค่าโฆษณาได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของธุรกิจออนไลน์ที่ทำ SEO กันอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่เทคนิคการปรับแต่งคอนเทนต์ ตลอดจนโค้ด HTML ในขณะที่ความจริงแล้ว หัวใจของการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้มีแค่การปรับแต่งเว็บไซต์ภายใน (On Page) อย่างเช่น การใช้ Keywords ตลอดจนการให้ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และการปรับแต่งภายนอก (Off-Page) อย่างเช่น การสร้างลิงก์คุณภาพ (Quality Links) ให้ชี้มายังเว็บไซต์เราเท่านั้น แต่ประเด็นที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ประสบการณ์ในการใช้งานเว็บไซต์ของลูกค้า เพราะเป็นตัวตัดสินคุณภาพเว็บไซต์ในระดับ First Impression นั่นเอง ซึ่งประสบการณ์ที่ดีของเว็บไซต์นั้นประกอบด้วย
แสดงผลหน้าเว็บได้เร็วสุดๆ
ผลวิจัยของเว็บไซต์ Akamai และ Gomez.com ระบุตรงกันว่า ผู้บริโภคคาดหวังให้เว็บไซต์สามารถโหลด และแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่การโหลดหน้าเว็บช้าจะส่งผลกระทบให้อัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate คือการที่ผู้ใช้เข้าเว็บไซต์ไม่นานก็ออกเลย หรือรอโหลดไม่ไหวจึงต้องออกไปเข้าเว็บอื่นแทน) ก็จะเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน การโหลดหน้าเว็บที่ช้ายังส่งผลให้การตัดสินใจซื้อสินค้าลดลงอีกด้วย
ซึ่งประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ใช้เวลากับเว็บไซต์ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ปัจจัยข้อนี้ข้อเดียว การทำ SEO ที่เหลือก็หมดความหมายแล้ว และถึงแม้เว็บไซต์จะติดอันดับการค้น แต่หากภายหลัง Google พบว่า ผู้ใช้เข้าไปแล้วก็ออกจากเว็บไซต์คุณอย่างรวดเร็ว (ความหมายเท่ากับ ผิดหวัง) เว็บไซต์ของคุณก็สอบตกในที่สุด
สำหรับตัวอย่างเว็บไซต์ที่โหลดเร็วจนน่าตกใจ อยากให้คุณผู้อ่านลองเข้าไปที่เว็บไซต์ smashingmagazine.com ซึ่งจะพบว่า มันสามารถโหลด และแสดงผลได้ภายในไม่ถึง 2 วินาที!!! และหากใช้เครื่องมือทดสอบความเร็วอย่าง Page Speed Insight ของ Google คะแนนของความเร็วที่เว็บไซต์นี้ทำได้คือ 100 เต็มทั้งบนมือถือ และเดสก์ทอป ลองทดสอบกับเว็บไซต์ของคุณดูสิครับว่าได้คะแนนสักเท่าไร? นอกจากนี้ ยังมีสถิติที่น่าตกใจก็คือ ปัจจุบันผู้บริโภคมีสมาธิจดจ่อรอดูสิ่งที่สนใจได้แค่ 8 วินาที (ปลาทอง 9 วินาที) Google ถึงกับกำหนดให้การโหลดหน้าเว็บบนมือถือที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ควรจะไม่เกิน 3 วินาที
ต้องดูดี และโหลดไวบนมือถือด้วย
จากสถิติการใช้มือถือท่องเว็บที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอเมริกาที่ 80 เปอร์เซ็นต์ ท่องเว็บบนโทรศัพท์มือถือ การออกแบบเว็บไซต์โดยเริ่มต้นจากมือถือไปสู่เดสก์ทอป กำลังเป็นแนวทางของนักออกแบบหลายๆ คน โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ตอบสนองการแสดงผลบนหน้าจอทุกขนาดที่เรียกว่า Responsive ตั้งแต่มือถือยันเดสก์ทอป
เว็บไซต์อย่าง Cyber-Duck เปลี่ยนใจจากใช้ CMS (Content Management System) ไปเป็นการเขียนหน้าเว็บขึ้นใหม่ สามารถเร่งความเร็วให้เว็บไซต์บนมือถือเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 3,900 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนอกจากโค้ดใหม่แล้วยังมีการลดขนาดไฟล์ภาพลง 50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้โหลดบนมือถือได้เร็วขึ้นอีกด้วย
โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ Cyber-Duck มีแทรฟฟิกจากมือถือเพิ่มขึ้น 82 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาอยู่กับเว็บไซต์นานขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์ แถมอาการออกจากหน้าเว็บ (Bounce Rate) ที่หน้าแรกลดลงจากเดิมถึง 4,000 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับหน้าจอขนาดต่างๆ อีกทั้งให้ประสบการณ์ในการใช้งานดีมาก (ดูดี และโหลดไว) ซึ่งสอดรับกับวัตถุประสงค์ของ Google อันดับการค้นแบบธรรมชาติของคุณก็จะอยู่ในอันดับต้นๆ ไปด้วย
รีดไขมันบนหน้าโฮมเพจ
นอกจาก 2 ข้อแรกแล้ว ประสบการณ์ของผู้ใช้ยังรวมถึงคำถามที่ว่า ระหว่างโฮมเพจที่มีเนื้อหาสั้นกับยาว อันไหนดีกว่ากัน กล่าวโดยสรุปคือ อย่าโหมกระหน่ำทุกอย่างลงไปที่หน้าแรก แต่ให้ดูว่า คอนเทนต์ใดที่สำคัญต่อการตัดสินใจ หรือสร้างความพอใจให้กับผู้บริโภคได้มากที่สุด แล้วคัดเลือกคอนเทนต์ที่ไม่จำเป็นต้องแสดงผลไว้หน้าแรกออกไปไว้หน้าอื่นๆ ซึ่งผลจากการที่โหลดเร็ว ผู้ใช้จะยินดีที่จะคลิกไปดูหน้าอื่นๆ ที่สนใจโดยไม่รีรอ
ประสบการณ์ตรงนี้จะส่งผลให้อัตราการคลิก (Click Through Rate) เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวได้เลยทีเดียว ซึ่งการที่เว็บไซต์โหลดเร็ว จะส่งผลให้ผู้ใช้คลิกดูหน้าเว็บต่างๆ มากขึ้น และ Google ก็จะพิจารณาว่า เว็บไซต์นั้นมีความหมาย หรือมีคุณภาพดีต่อผู้บริโภคและสมควรที่จะได้รับการส่งเสริมจาก Google ด้วยอันดับการค้นที่ดีด้วย
Call To Action (CTA) ออกแบบให้ “คลิก” เยอะ
การปรับแต่งเว็บไซต์นอกจากความเร็วในการโหลด การแสดงผลบนมือถือ การทำให้หน้าเว็บเบา แล้วแสดงแต่คอนเทนต์ที่จำเป็นก่อน ปัจจัยที่ทำให้ SEO ประสบความสำเร็จยังรวมถึงการปรับแต่งให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Call To Action (การที่ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับหน้าเว็บ) อีกด้วย โดยเฉพาะลิงก์ หรือปุ่มบนมือถือ เช่น การเปลี่ยนข้อความให้กระชับ และยิงตรงถึงตัวผู้ใช้ เช่น Start your free trial ให้เปลี่ยนเป็น Start my free trial แค่เปลี่ยน your เป็น my ผลลัพธ์คือ CTR เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
นอกจากใส่ข้อความยิงตรงนี้แล้ว การใส่คุณค่าบนปุ่ม เช่น Free 30 day-trial หรือ Buy 1 Get 1 Free ยังช่วยเพิ่มอัตราคลิก หรือ CTR ได้เป็นเท่าตัวอีกเช่นกัน นอกจากนี้ ตำแหน่งของปุ่ม CTA บนมือถือที่สามารถมองเห็นได้ทันทีที่โหลดเสร็จ โดยยังมิทันต้องเลื่อนหน้าเว็บขึ้นมาก็เห็นปุ่มแล้ว ผนวกกับเนื้อหาที่โน้มน้าวจนเกิดความต้องการ เมื่ออ่านจบเห็นปุ่ม ผู้ใช้จะสามารถคลิกได้ทันที อำนวยอวยกันขนาดนี้ โอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกก็สูงขึ้น และแน่นอนว่า Google จะให้อันดับการค้นโดยธรรมชาติที่ดีกับคุณด้วยอย่างแน่นอน
เก็บตกเพิ่มเติมให้คุณได้ SEO อันดับที่ดี
สุดท้ายเป็นเรื่องของการนำเสนอบนหน้าเว็บด้วยคอนเทนต์ที่จัดวางให้อ่านง่าย (Readability) ตัวหนังสือไม่เล็กเกินไป เรียบร้อยจนคล้ายกับเอกสาร White Paper จะช่วยเพิ่มยอดวิวได้สูงขึ้นได้ถึงเท่าตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อ SEO อย่างแน่นอน และทั้งหมดคือ ความลับของ SEO ที่หลายคนไม่รู้ หรือมองข้าม
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี