PHOTO : B-Smile
“ผึ้งยิ้ม” แฟรนไชส์เครื่องดื่มน้ำผึ้งมะนาวจากธรรมชาติที่เปิดตัวในเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน วันหนึ่งเมื่อธุรกิจเริ่มเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัว จากการขายแฟรนไชส์ในประเทศ จึงพุ่งเป้าขยายไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยการเป็นสินค้าจากธรรมชาติ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง ไม่ใส่วัตถุกันเสียใดๆ การขนส่งของสดอย่างน้ำผึ้งผสมมะนาว แม้จะควบคุมอุณหภูมิได้ดีเท่าไหร่ก็ตาม แต่การส่งสินค้าข้ามแดนไปยังต่างประเทศก็ย่อมมีข้อจำกัดจากปัจจัยแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้สินค้าเกิดความเสียหาย ปิดโอกาสธุรกิจที่คิดว่าจะเติบโตไปได้
ด้วยเหตุนี้ สรัลภัค จิรโรจน์วัฒน ผู้บริหารและผู้ก่อตั้งแบรนด์ จึงได้คิดแก้โจทย์ด้วยการนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ เพื่อยืดอายุสินค้าออกไปให้นานขึ้น ทำให้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาให้กับธุรกิจได้แล้ว ยังเกิดเป็นสินค้าใหม่ที่เพิ่มโอกาสให้มากมาย โดยถูกนำไปวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงตลาดโลก ทำให้จากปีๆ หนึ่งที่เคยใช้วัตถุดิบเป็นน้ำผึ้งเกือบ 30 ตัน ก็กระโดดเพิ่มขึ้นเป็น 150 ตันได้อย่างไม่น่าเชื่อ อะไร คือ โอกาสที่มาพร้อมกับการแก้ไขปัญหาของแฟรนไชส์เครื่องดื่มแบรนด์นี้ ไปร่วมค้นหาคำตอบพร้อมๆ กัน
เหตุเกิดจากปัญหา
“เดิมเราเป็นแฟรนไชส์คีออสน้ำผึ้งมะนาวสำเร็จรูป เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าได้นำไปขายต่อในรูปแบบที่ง่ายและสะดวก แค่ฉีกซองเทใส่โหล ก็สามารถตักขายได้เลย โดยเราเริ่มต้นธุรกิจขึ้นมาตั้งแต่ปี 2555 จนกระทั่ง 4 – 5 ปีผ่านไปเริ่มมีสาขามากขึ้นหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ ก็เริ่มมีลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว มาเลเซีย ติดต่อเข้ามาขอซื้อแฟรนไชส์ จึงเริ่มทดลองส่งวัตถุดิบไปให้ แต่พอถึงด่านศุลกากร เราไม่สามารถกำหนดเวลาแน่นอนได้ ทำให้สินค้าที่ส่งไปก็มีใช้ได้บ้าง เสียหายบ้าง เพราะสินค้าของเราเป็นสินค้าจากธรรมชาติแท้ ๆ ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ไม่มีสารปรุงแต่งใด ๆ ซึ่งนี่คือ จุดเด่นเลย จึงทำให้หันกลับมาทบทวนตัวเองว่าหากอยากเติบโต ก็ต้องแก้โจทย์ตรงนี้ให้ได้ ต้องหาวิธียืดอายุสินค้าออกไปให้ได้” สรัลภัค ผู้บริหารแฟรนไชส์แบรนด์ผึ้งยิ้มเล่าถึง Pain Point ที่เกิดขึ้นให้ฟัง
จากปัญหาที่เกิดขึ้น สรัลภัคได้เข้าไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานอยู่หลายแห่ง แต่ด้วยโจทย์ที่ค่อนข้างยากและท้าทาย จึงทำให้ถูกปฏิเสธจากหลายที่ แต่สุดท้ายความพยายามก็สัมฤทธิ์ผล
“เราลองเข้าไปขอคำปรึกษาจากหน่วยงานหลายที่ด้วยกัน แต่ก็ได้รับปฏิเสธมาหลายครั้ง เพราะโจทย์เราค่อนข้างยาก คือ 1. ยืดอายุสินค้าออกไปได้ 2. ต้องได้รสชาติและกลิ่นสัมผัสเหมือนเดิม กินแล้วสดชื่น เหมือนกับที่ทำสดใหม่ และ 3. ต้องใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเท่านั้น จนในที่สุดได้เข้าไปขอคำปรึกษาจาก Innovative House เขาก็ยอมทดลองทำให้ ใช้เวลาร่วมกันพัฒนาอยู่ 2 ปี จนในที่สุดก็สำเร็จออกมาได้ ซึ่งใช้วิธีการพาสเจอร์ไรซ์รูปแบบหนึ่งที่ยังคงสามารถรักษาสี กลิ่น และรสชาติได้คงเดิม โดยก่อนที่จะนำส่วนผสมทุกอย่างมารวมกัน จะมีการนำวัตถุดิบแต่ละชนิดไปผ่านการ Retort ฆ่าเชื้อทำความสะอาดก่อน เพื่อเป็นการถนอมอาหาร และช่วยยืดอายุวัตถุดิบออกไปให้มากขึ้น และเมื่อนำมาผสมรวมกันก็จะได้เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีอายุการเก็บรักษาได้ยาวนานยิ่งขึ้น”
แก้โจทย์แบรนด์เก่า แต่กลับได้แบรนด์ใหม่
โดยนวัตกรรมใหม่ถูกผลิตออกมาในรูปแบบของน้ำผึ้งผสมน้ำผลไม้เข้มข้น เพื่อใช้เป็นหัวเชื้อ เวลาใช้งานลูกค้าสามารถนำไปผสมกับน้ำเปล่า เพื่อให้ได้สัดส่วนปริมาณเท่าเดิม วิธีการนี้นอกจากช่วยแก้ปัญหาการยืดอายุสินค้าออกไปได้แล้ว ยังช่วยประหยัดต้นทุนในการขนส่ง เช่น ขนส่งในปริมาณเท่าเดิม แต่กลับสามารถนำไปผลิตเป็นสินค้าในปริมาณที่เพิ่มขึ้นได้ ที่สำคัญอีกข้อ คือ สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น โดยเก็บอยู่ที่อุณหภูมิห้องได้นานกว่า 1 ปี แต่หากเป็นน้ำผึ้งมะนาวแบบดั้งเดิมจะเก็บได้เพียง 4 – 5 สัปดาห์ในตู้เย็นเท่านั้น
ซึ่งจากการคิดค้นขึ้นมานี่เอง จึงทำให้เกิดการต่อยอดธุรกิจตัวใหม่ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “B-Smile” พูดง่ายๆ ว่าผึ้งยิ้ม คือ น้ำผึ้งมะนาวที่เป็นเครื่องดื่ม ส่วน B-Smile น้ำผึ้งมะนาวเข้มข้นที่เป็นวัตถุดิบนั่นเอง
โดยน้ำผึ้งมะนาวเข้มข้น 1 ส่วนสามารถใช้ผสมน้ำเปล่าได้มากถึง 5 ส่วน ก็จะได้รสชาติที่คุ้นเคยตามสูตรเดิม และนอกจากน้ำผึ้งมะนาว ยังมีน้ำผึ้งส้ม น้ำผึ้งบ๋วย และน้ำผึ้งเสาวรสอีกด้วย สามารถชงได้ทั้งในน้ำอุ่น น้ำเย็น และโซดา
และด้วยการเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่นี่เอง จึงสร้างโอกาสให้กับสรัลภัคได้มากกว่าแค่การทำธุรกิจเครื่องดื่ม โดยสามารถต่อยอดนำไปใช้ได้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เบเกอรี, ไอศกรีม อาหารอื่น ๆ ทำให้ปัจจุบันนอกจากจะผลิตขึ้นมาเพื่อนำมาใช้กับแฟรนไชส์ผึ้งยิ้มแล้ว ยังสามารถนำไปวางจำหน่ายอยู่ในโมเดิร์นเทรด ร้านสะดวกซื้อ และยังขายส่งเป็นวัตถุดิบให้กับโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเบเกอรี่อื่นๆ ได้ด้วย ไปจนถึงการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น บาห์เรน, ยูเออี (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
“ทุกอย่างเกิดขึ้นมา เพราะลูกค้าเลย เขาเป็นผู้นำไปทดลองใช้ แล้วก็ฟีดแบ็กกลับมาให้กับเรา บางคนเอาไปทำรสชาติไอศกรีมบ้าง บ้างเอาไปราดแพนเค้ก จึงทำให้เรารู้ว่านอกจากเครื่องดื่มแล้ว ยังมีความต้องการตรงนี้อยู่ กลายเป็นโอกาสให้เราได้ขยายช่องทางตลาดใหม่ๆ ออกไป ซึ่งก็เป็นประโยชน์กับตัวธุรกิจของเขาเองด้วย เพราะมีความใกล้เคียงกันเลยระหว่างใช้ของสดกับใช้ของเรา แถมยังช่วยยืดอายุออกไปได้มากกว่าของที่ทำสด ไม่ต้องเสียเวลาทำให้ยุ่งยาก สูตรนิ่ง และยังคำนวณต้นทุนได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีราคาขึ้นลงตามฤดูกาล”
ยอดพุ่ง จากปีละไม่กี่สิบตัน กลายเป็นร้อยตัน
ปัจจุบันน้ำผึ้งผสมน้ำผลไม้ B-Smile ผลิตออกมา 2 ขนาดด้วยกัน คือ ซองเล็กชงออกมาได้ 1 แก้ว สำหรับลูกค้าปลีกทั่วไป และถุงขนาด 1 ลิตร สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ โดยหากชงออกมาเป็นเครื่องดื่มจะได้ประมาณ 30-40 แก้วขึ้นอยู่กับไซส์แก้วที่ใช้
ซึ่งจากการขยับขยายจากแฟรนไชส์เครื่องดื่ม มาสู่น้ำผึ้งผสมน้ำผลไม้เข้มข้น B-Smile ทำให้วัตถุดิบหลักอย่างน้ำผึ้งมีการเพิ่มปริมาณความต้องการมากขึ้น โดยจากตอนที่เป็นแฟรนไชส์ผึ้งยิ้มอย่างเดียวเคยใช้อยู่เกือบ 30 ตันต่อปี ก็กระโดดเพิ่มสูงขึ้นเป็น 150 ตันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้น และการเติบโตของธุรกิจที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สำหรับแฟรนไชส์ผึ้งยิ้มในปัจจุบันมีทั้งหมดประมาณ 600 สาขาด้วยกัน โดยในนี้มี 40 สาขาที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
สุดท้ายสรัลภัคได้ฝากแง่คิดสำหรับการคิดต่อยอดผลิตภัณฑ์ออกไปว่า ความเหมาะสม และเสียงจากลูกค้ายังเป็นสิ่งที่สำคัญเสมอ
“เราสร้างนวัตกรรมสินค้าใหม่ขึ้นมา จนสามารถขยายโอกาสธุรกิจให้กับเราออกไปได้มากมาย แต่ก็ใช่ว่าจำเป็นจะต้องเปลี่ยนทุกอย่างไปเสียหมด สุดท้ายต้องดูที่ความเหมาะสมและความต้องการใช้งานของลูกค้าอยู่ดี อย่างที่เราพัฒนาเป็นน้ำผึ้งมะนาวเข้มข้นขึ้นมา สามารถช่วยแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์ลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่ไกล ๆ ได้ แต่สำหรับลูกค้าทั่วไปที่สินค้าสามารถขนส่งไปถึงได้ เขายังคงถนัดที่จะใช้เป็นน้ำผึ้งผสมน้ำผลไม้สำเร็จรูปแบบเดิมที่แค่ฉีกซองเทใส่โหลแล้วตักขายได้เลย เขาไม่ชอบใช้เป็นน้ำผึ้งสูตรเข้มข้นถึงแม้จะช่วยประหยัดค่าขนส่งให้ถูกลงก็ตาม เพราะไม่อยากยุ่งยากในการชั่งตวงวัด และใช้แบบเดิมก็สะดวกดีอยู่แล้ว” สรัลภัคกล่าวทิ้งท้าย
www.smethialandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี