เรื่อง : มลฑา ชัยธำรงค์กูล
ภาพ : สุนันท์ ล้อสมทรัพย์
‘ทุเรียน’ ถือเป็นราชาแห่งผลไม้ที่มีรสชาติ กลิ่นหอม และเนื้อสัมผัสเฉพาะตัวอันไม่สามารถหาได้จากผลไม้ชนิดไหน ชาวจีนเชื่อว่าทุเรียนมีสรรพคุณเป็นยาชั้นดี จนเปรียบเทียบถึงการรับประทานทุเรียน 1 ลูกว่าเท่ากับรับประทานแม่ไก่ 3 ตัว จึงถือว่าคนไทยนั้นโชคดีที่มีทุเรียนอร่อยที่สุดในโลกให้ได้รับประทานทุกปี และล้นตลาดเสียจนได้รับประทานทุเรียนทอด และทุเรียนกวนกันตลอดปี แต่นั่นก็เป็นการถนอมอาหารที่ทำให้ทุเรียนเปลี่ยนสี เปลี่ยนกลิ่น เปลี่ยนรส จนเสน่ห์ที่แท้จริงนั้นหายไป
มรุต ชโลธร หนุ่มวิศวกร เจ้าของ บริษัท Innovative Food Packaging จำกัด ผู้คิดผลิตไอศกรีมทุเรียนขึ้นมา ด้วยแรงผลักดันเบื้องต้นที่อยากให้เอกลักษณ์ของ King of Fruit นี้ไม่ถูกกลืนหายไปในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต
“ไอศกรีมเป็นของหวานที่สากลที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ คนชาติใดก็จะชอบรับประทานไอศกรีม เลยเป็นที่มาว่าจะทำทุเรียนให้ออกมาเป็นไอศกรีม ภายใต้เงื่อนไขที่จะใช้วัตถุดิบให้มากที่สุด
แม้ไอศกรีมจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องดูแลเรื่องอุณหภูมิ แต่นั่นคือปัจจัยเดียวที่จะทำให้วัตถุดิบคงความสดใหม่ จึงพัฒนาจนได้ไอศกรีมจากเนื้อทุเรียนหมอนทองล้วน 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสามารถอยู่ในภาวะแตกต่างของอุณหภูมิได้มากกว่าไอศกรีมทั่วไป เพราะจะไม่มีการแยกชั้นเกิดขึ้น เนื่องจากเราใช้เนื้อผลไม้ล้วน 100 เปอร์เซ็นต์ เก็บได้ 1 ปีในอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส”
เมื่อลงตัวในเรื่องของผลิตภัณฑ์แล้ว แรงผลักดันต่อไปของผู้ประกอบการที่ใช้สมองทั้งสองซีกอย่างมรุตก็คือ การทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักโดยไม่ต้องทุ่มเงินมากมาย
“ด้วยความที่เราเป็น SME จึงไม่สามารถลงทุนกับการตลาดมหาศาล ทำให้เป็นที่มาของบรรจุภัณฑ์ที่มีรูปทรงไม่เหมือนใคร ซึ่งทรงรีของไข่นั้นเกิดจากการผสมผสานความคิดที่ว่า พื้นฐานของบรรจุภัณฑ์คือ ป้องกันสินค้า และสื่อสารได้ แต่เราเพิ่มโจทย์ลงไปว่าต้องสะดวกและดึงดูดความสนใจลูกค้าได้ด้วย ที่สำคัญคือ เป็นแม่พิมพ์ในตัวได้ และมีหน้าที่สื่อสารการตลาดแทนเรา หากเราผลิตไอศกรีมดีๆ แต่ใส่ถ้วยขายเหมือนแบรนด์ต่างๆ ก็ต้องพยายามทำให้ลูกค้ามาสนใจ แต่รูปทรงไข่จะทำให้ลูกค้าเข้ามาคุยกับเรา”
แล้วก็เป็นดังนั้นจริงๆ เพราะเมื่อมรุตทำการทดลองตลาดด้วยการเปิดหน้าร้านที่ตลาดนัดสวนจตุจักร เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างล้นหลาม และยิ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาล ให้ไปออกงานแสดงศักยภาพสินค้าไทยในต่างประเทศก็ยิ่งทำให้ทราบว่าผลตอบรับที่เกินคาดไม่ได้มีเฉพาะในบ้านเราเท่านั้น
"ชาวจีนในประเทศต่างๆ ให้ความสนใจกันมาก แต่เราต้องการให้คนไทยได้รับประทานของดีก่อนจึงมุ่งเจาะตลาดในประเทศเป็นหลัก และเพิ่มผลิตภัณฑ์ไอศกรีมนมขึ้นมา
โดยเลือกนมฮอกไกโดมาเป็นส่วนผสมหลัก เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการจำหน่าย เนื่องจากนมชนิดนี้ถือว่าเป็นนมที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก คือนอกจากจะมีความหอม กลมกล่อมแล้ว ยังมีสารอาหารที่ดี เพราะมาจากแม่โคพันธุ์ดี ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ถือเป็นโอกาสในการสร้างจุดขายด้วยกระแสนิยมญี่ปุ่นที่กำลังมาด้วย”
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ i-maru ไอศกรีมประสบการณ์ใหม่สัญชาติไทยแท้ที่มีชื่อแบบญี่ปุ่นจ๋า มีลีลาหลักให้เลือกลิ้มรส 2 แบบนั่นก็คือ แบบ ‘เจาะแล้วกัด’ กับ ‘ตัดแล้วดูด’ !!!
ซึ่ง tamago ไอศกรีมจากเนื้อผลไม้ล้วน 100 เปอร์เซ็นต์ ที่มีทุเรียนหมอนทอง และมะม่วงน้ำดอกไม้ไว้ให้เลือก คือไอศกรีมรูปทรงไข่ ที่ใช้ไม้จิ้มแล้ววัสดุหุ้มจะแตกออกเอง แล้วจึงรับประทาน
ส่วน miluku หรือไอศกรีมนมฮอกไกโด ที่มีทั้งรสวานิลลา ช็อกโกแลตสด แคนตาลูป กล้วย เบอร์รี่ น้อยหน่า โยเกิร์ตเบอร์รี่ และพีชญี่ปุ่นให้เลือกนั้นจะต้องใช้กรรไกรตัดปลายจุกออก แล้วดูดไอศกรีมที่ละลาย และค่อยๆ พุ่งออกมา โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีอันตรายเพราะวัสดุที่ใช้หุ้มนั้นผ่านมาตรฐานรับรองว่าปลอดภัย ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ผลิตจุกขวดนมเด็กนั่นเอง
“ตอนนี้ร้านสาขาแรก และสาขาเดียวของบริษัทที่จตุจักรก็ยังคงอยู่ เพราะเป็นแหล่งที่สามารถทำการทดสอบตลาดได้ คือ รสชาติใหม่ๆ จะลองขายที่จตุจักรเพื่อทดสอบตลาดก่อน”
และหากถามว่าจะหาไอศกรีมที่อัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมแบบนี้รับประทานได้ที่ไหนอีก ขอบอกว่าทั่วกรุงเทพฯ และตามจังหวัดใหญ่ๆ อย่าง เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น อุบล ภูเก็ต ชุมพร นับได้ 20 สาขาทั่วประเทศ ต่างก็มีผู้ประกอบการสนใจจับจอง i–maru ไว้แล้วทั้งนั้น ซึ่งถือว่าแผนแรกในใจสำเร็จเสร็จสิ้นอย่างสวยงาม ตามมาด้วยแผนที่สองก็คือ การมุ่งสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ให้สำเร็จตามเป้าหมายต่อไป
His trick to you
คนรุ่นก่อนจะสอนให้ทำในสิ่งที่ตนเองรู้และมีประสบการณ์ แต่ผมเป็นคนที่คิดนอกรอบอยู่เสมอว่าอะไรก็ตามที่เราอยากทำ ต่อให้ไม่รู้ก็สามารถเรียนรู้ได้ ในทางกลับกันสิ่งที่รู้อยู่แล้วแต่ไม่มีแรงบันดาลใจที่จะทำ ความรู้ก็จะอยู่เท่าเดิม คุณต้องกล้าที่จะทำ แต่ในความกล้านั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของการรู้จริงและผ่านกระบวนการคิดแล้ว ผมเองจบการศึกษาวิศวฯ ไฟฟ้าทำให้ได้วิธีการคิดแบบตรรกะ แต่ก็ชอบใช้สมองอีกซีกหนึ่งด้วย การใช้ทั้งตรรกะและจินตนาการมาผสมผสานกันนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก