Main Idea
- การชำระเงินดิจิทัลกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของคนไทยจำนวนมาก และแนวโน้มที่ว่านี้ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะหยิบบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตออกมาใช้แทนเงินสดเพื่อจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน
- แต่ฝั่งผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยยังคงทำธุรกรรมการเงินในรูปแบบเดิมๆ ผ่านเช็คและเงินสด เพราะยังไม่รับรู้ถึงผลประโยชน์มากมายเมื่อใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเพื่อธุรกิจ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ววิธีนี้จะช่วยให้กระแสเงินสดในธุรกิจมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
- ถึงเวลาที่ธุรกิจปรับเปลี่ยนวิธีคิดและปรับตัวเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงเลือกวิธีการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อให้พร้อมเติบโตในอนาคต
ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นผู้คนหยิบบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตออกมาใช้แทนเงินสดสำหรับการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยยังมีแนวโน้มที่จะใช้บัตรพรีเพด (หรือบัตรเติมเงิน) สำหรับการใช้จ่ายที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยเมื่อเดินทางในต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การชำระเงินดิจิทัลกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของคนไทยจำนวนมาก และแนวโน้มที่ว่านี้ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องไปกับความแพร่หลายของกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) รวมถึงการชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ไอโอทีต่างๆ
กระนั้นแล้วแนวโน้มดังกล่าวอาจไม่จริงเสมอไปสำหรับองค์กรและผู้ประกอบกิจการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่เพิ่งเริ่มก้าวย่างเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ในปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ยังคงทำธุรกรรมผ่านเช็คและเงินสด โดยอาจมีเหตุผลมาจากการที่ยังไม่เข้าถึงข้อมูล และการรับรู้ถึงผลประโยชน์มากมายที่มาพร้อมกับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเพื่อธุรกิจ
ผู้ประกอบการ SME และองค์กรต่างๆ มักนิยมใช้เช็คในการชำระเงิน เพราะมองว่าวิธีการนี้ สามารถช่วยยืดระยะเวลาในการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ ซึ่งจะเสริมสภาพคล่องให้แก่กระแสเงินสดของบริษัทได้
ในความเป็นจริงแล้ว การชำระเงินด้วยบัตรเครดิตองค์กรนั้นช่วยให้กระแสเงินสดมีความคล่องตัวได้ยิ่งกว่า เพราะผู้ประกอบการสามารถ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” ได้ตามกำหนดเวลาปลอดดอกเบี้ยที่ผู้ให้บริการบัตรต่างๆ เสนอให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งในบางกรณีนั้นนานถึง 55 วันเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างที่ประเทศสิงคโปร์ จากข้อมูลของวีซ่า ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตของผู้บริโภคในสิงคโปร์มีการใช้จ่ายในรูปแบบคล้ายคลึงกับการใช้จ่ายในเชิงของผู้ประกอบการ SME จึงอาจกล่าวได้ว่าผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยยังคงใช้บัตรส่วนตัวเพื่อชำระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอยู่
ส่วนสาเหตุนั้น มีความเป็นไปได้ที่เจ้าของธุรกิจบางรายนิยมเลือกใช้บัตรส่วนตัวเพื่อชำระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ เพราะพวกเขายังอยากได้รับผลประโยชน์จากการรับคะแนนสะสมจากการใช้บัตรอยู่ หรือบางรายอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตัวเลือกบัตรเครดิตองค์กรให้ใช้ด้วย และอีกจำนวนมากอาจไม่ได้รับการเสนอผลิตภัณฑ์นี้จากธนาคารที่บริษัทใช้บริการอยู่ ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจว่าเมื่อธุรกิจมีการเติบโต วงเงินสินเชื่อจากบัตรเครดิตส่วนบุคคลของเจ้าของกิจการ อาจจะไม่เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริงในการดำเนินการของธุรกิจนั้นๆ ก็เป็นได้
ซึ่งมีข้อดีมากมายจากการใช้บัตรเครดิตองค์กร และยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผู้ประกอบการ SME องค์กรธุรกิจขนาดใหญ่และแม้แต่หน่วยงานภาครัฐ ที่สามารถช่วยในด้านการประหยัดเวลา เสริมความก้าวหน้าของธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการให้องค์กรเหล่านั้น
ธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SME ในประเทศไทยก็จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่ปรับเปลี่ยนไป รวมทั้งการยอมรับแนวคิดที่จะใช้ช่องทางดิจิทัลเป็นตัวเลือกอันดับแรก ซึ่งรวมถึงการเลือกวิธีการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัล และการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้ธุรกิจก้าวทันโลกที่เปลี่ยนไป พร้อมทั้งเติบโต และเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นในอนาคต
ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับบัตรชำระเงินเพื่อธุรกิจ ได้แก่
• ธุรกิจเสียผลประโยชน์
เจ้าของกิจการมีความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียผลประโยชน์ต่างๆ หากเลือกใช้บัตรเครดิตองค์กร อาทิ เครดิตเงินคืน และคะแนนสะสม อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ควรทราบเป็นอย่างยิ่งว่าบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเพื่อธุรกิจให้ผลประโยชน์ที่คล้ายคลึงกัน หรือมากกว่าบัตรส่วนบุคคลด้วยซ้ำ เช่น วีซ่าจับมือกับผู้ให้บริการต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อมอบส่วนลดให้กับผู้ถือบัตรวีซ่าเพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lalamove, Seekster, Skootar, Fastwork, Servcorp, โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลพญาไท เป็นต้น
โซลูชั่นดังกล่าวถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการSME ที่ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการย้ายขั้นตอนการชำระเงินมาทางดิจิทัล เพื่อให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ดำเนินการด้วยประสิทธิภาพสูงสุด หรือแม้แต่เพิ่มผลประโยชน์ด้านการดูแลสุขภาพให้กับพนักงานของบริษัทนั้นๆ อีกด้วย
• ช่วยควบคุมกระแสเงินสดและสภาพคล่อง
นอกจากความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่จะได้รับจากการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลแล้ว เป็นที่น่าเสียดายที่เจ้าของธุรกิจSMEจำนวนมากกลับมองข้ามการใช้บัตรเครดิตองค์กรเพื่อเป็นเครื่องมือในการวางแผนธุรกิจและการจัดสรรงบประมาณ ด้วยบัตรเครดิตองค์กร ผู้ประกอบการ SME สามารถขยายเวลาการค้างชำระและจัดการสินทรัพย์หมุนเวียนได้อย่างเหมาะสม โดยเลือกใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยได้นานสูงสุดถึง 55 วัน เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดหมุนเวียนให้กับธุรกิจ
ยิ่งไปกว่านั้น ในกระแสของการผลักดันให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัล ธนาคารบางแห่งยังได้ขึ้นค่าธรรมเนียมการออกเช็คเพื่อส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ ลดการใช้เช็คเพื่อชำระเงิน ซึ่งไม่รวมกับค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่สำหรับการออกเช็คโดยเจ้าของธุรกิจ เช่น บริการเดินเอกสารเพื่อรับและฝากเช็ค เป็นต้น และแม้ว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีผลในการเพิ่มยอดในบัญชีงบดุลของธุรกิจได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเชื่อว่าผู้ประกอบการSMEควรพิจารณาใช้บัตรชำระเงินเพื่อธุรกิจมากกว่าการชำระด้วยเช็ค เพื่อช่วยลดต้นทุน และประหยัดเวลาการดำเนินงานให้แก่บริษัท
• ความกังวลว่าซัพพลายเออร์จะไม่รับชำระด้วยบัตร
กล่าวกันว่าการรับบัตรในกลุ่มผู้ประกอบการอาจจะไม่เป็นที่แพร่หลาย ผู้ให้บริการบัตรเครดิตจึงได้มีการสนับสนุนการขยายการยอมรับของการใช้บัตรเพื่อธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานร่วมกันกับพันธมิตรต่างๆ ที่เรียกว่า ผู้ให้บริการโชลูชั่นการชำระเพื่อธุรกิจ (Business Payment Solution Providers: BPSP) เพื่อขยายการรับบัตรในกลุ่มซัพพลายเออร์ B2B
BPSP ในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพวกเขามีบทบาทในการผสานช่องว่างระหว่างผู้ซื้อและซัพพลายเออร์ ด้วยการเอื้อให้ผู้ซื้อสามารถชำระเงินด้วยบัตรเครดิตองค์กร โดยซัพพลายเออร์ก็สามารถได้รับการชำระเงินเข้าบัญชีของพวกเขาโดยตรงได้เช่นกัน และวิธีนี้ยังช่วยทำให้ขั้นตอนการพิสูจน์ยอดสำหรับผู้ซื้อและซัพพลายเออร์ง่ายดายยิ่งขึ้น ด้วยการส่งข้อมูลการชำระเงินไปให้ทั้งสองฝ่าย
• การใช้บัตรชำระเงินเพื่อธุรกิจอย่างไม่ถูกต้อง
เจ้าของกิจการ SME บางรายมีความกังวลว่าหากให้บัตรชำระเงินเพื่อธุรกิจกับพนักงานไปใช้ พวกเขาอาจนำบัตรไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง และทิ้งปัญหาไว้ให้เจ้าของกิจการรับผิดชอบ แต่ในความเป็นจริงการให้บัตรชำระเงินเพื่อธุรกิจแก่พนักงานไปใช้นั้น สามารถช่วยให้เจ้าของกิจการไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินคืนให้แก่พนักงานเมื่อถึงกำหนดสิ้นเดือน ซึ่งเป็นการเสียเวลากับทั้งเจ้าของกิจการและพนักงาน
จากการศึกษา พบว่าปัญหาการชำระเงินคืนถือเป็นประเด็นสำคัญของผู้ประกอบการมากมาย และ 34 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างกล่าวว่า พวกเขาประสบปัญหาในเรื่องกระแสเงินสดส่วนตัวไม่พอใช้ เนื่องจากนโยบายการคืนเงินค่าใช้จ่ายที่ล่าช้าของบริษัท
เพื่อให้มั่นใจว่าปัญหาการใช้บัตรชำระเงินเพื่อธุรกิจอย่างไม่ถูกต้องจะได้รับการแก้ไข สามารถผนวกเอาฟีเจอร์ควบคุมการทำธุรกรรมมาใช้ในการจัดการว่าบัตรชำระเงินเพื่อธุรกิจจะถูกนำมาใช้ได้อย่างไร เมื่อใด และที่ไหน ซึ่งสามารถออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของบริษัทและนโยบาย อีกทั้งยังสามารถดึงข้อมูลมาเพื่อสร้างรายงานการใช้จ่าย เพื่อให้เจ้าของกิจการได้ติดตามและสร้างความมั่นใจว่าบัตรชำระเงินเพื่อธุรกิจจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ช่วยให้เจ้าของกิจการ SME คลายความกังวล และพุ่งเป้าไปที่การขยายธุรกิจ
โดยสรุป ผู้ประกอบการ SME ควรต้องเริ่มเปิดรับการชำระแบบดิจิทัลที่จะช่วยให้พวกเขาได้ตระหนักถึงศักยภาพที่แท้จริงของพวกเขา โดยหนึ่งในคำตอบสำหรับสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในอนาคตอาจเป็นบัตรใบเล็กๆ ในกระเป๋าสตางค์นั่นเอง
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี