บล.บัวหลวง ชี้ช่องผู้ประกอบการเพิ่มผลตอบแทน “ยุคจีดีพีไทยโตต่ำ” ผ่านการลงทุน DR




     หลักทรัพย์บัวหลวง ผู้ออก DR เจ้าแรกของไทย ชี้ช่องลงทุนสร้างโอกาสใหม่ และกระจายความเสี่ยงใน “ยุคจีดีพีไทยเติบโตต่ำ” ผ่าน “E1VFVN3001” อ้างอิง ETF ดัชนี VN30 Index ประเทศเวียดนาม รับอานิสงส์เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเฉลี่ยปีประมาณ 6- 7 เปอร์เซ็นต์ หนุนด้วยยอดส่งออกที่ขยายตัวทุกปี ขณะที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง หลังรัฐบาลเตรียมเสนอร่างกฎหมายพัฒนาตลาดทุน เอื้อประโยชน์นักลงทุนต่างชาติ
               

     บรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในยุคที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศไทยเติบโตค่อนข้างจำกัด หลังสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 63 อยู่ที่ 1.5-2.5 เปอร์เซ็นต์ จากคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2.7-3.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามที่ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยทางการเวียดนามคาดการณ์ว่า ปีนี้เศรษฐกิจจะโตที่ระดับ 6.3 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการกระจายการลงทุนไปในเวียดนาม ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว  


        โดยเฉพาะการลงทุนใน “ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ” (Depositary Receipt) หรือ DR ที่มีหลักทรัพย์ที่รับฝากเป็นกองทุนรวม ETF ที่อ้างอิงกับดัชนี VN30 Index สะท้อนหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทของตลาดหุ้นเวียดนาม และเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม บริหารจัดการ โดย Viet Fund Management  หรือ VFM ซึ่งหลักทรัพย์บัวหลวงเป็นผู้ออก DR เจ้าแรกของไทย ใช้สัญลักษณ์ว่า “E1VFVN3001” ที่เริ่ม   ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 61 


      ปัจจุบัน  DR “E1VFVN3001” ได้รับความสนใจลงทุนจากนักลงทุนอย่างมาก เห็นได้จากมูลค่าตลาด         (Market Cap) ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากกว่า 600  ล้านบาท มาอยู่ระดับ 1,447 ล้านบาท (ตัวเลข ณ วันที่      14 ก.พ. 63) โดยดัชนี VN30 ของตลาดหุ้นเวียดนาม ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนสูงถึง 11.8 เปอร์เซ็นต์ ชนะตลาดหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนเพียง 3.5 เปอร์เซ็นต์


       “ค่าเงินบาทในปี 63 มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเฉลี่ย 3-4 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลบวกต่อ DR “E1VFVN3001” ฉะนั้นถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนระยะยาว เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต โดยในปีที่ผ่านมาเวียดนามเนื้อหอมมาก เห็นได้ชัดจากการที่ผู้ประกอบการจากประเทศจีนย้ายโรงงานการผลิตมายังเวียดนามจำนวนมาก และหากร่างกฎหมายหลักทรัพย์ของเวียดนามได้รับการแก้ไขจะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามยิ่งน่าสนใจมากขึ้น” บรรณรงค์ กล่าว


     บรรณรงค์ กล่าวต่อว่า สำหรับปัจจัยบวกที่สนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม มีด้วยกันหลากหลายประเด็น คือ


     1. เศรษฐกิจเวียดนามมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 6-7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำ หนุนโดยภาคอุตสาหกรรม ,ภาคการผลิตที่เติบโตโดดเด่น รับอานิสงส์ค่าแรงระดับต่ำ 180 บาทต่อวัน และภาคการบริโภคที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง เพราะเวียดนามมีประชากรมากถึง 97 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยค่อนข้างมาก สอดคล้องกับรายงานการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของ Moody’s ที่คงอันดับความน่าเชื่อถือเวียดนามระดับ Ba3 ขณะที่ Fitch Ratings และ S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือเวียดนามระดับ BB  


     2. ยอดส่งออกของเวียดนามในปี 63 อาจขยายตัวต่อเนื่อง จากปี 62 ที่เติบโตมากถึง 8.4 เปอร์เซ็นต์  แซงหน้าส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะเดียวกันในอนาคตเวียดนามมีแนวโน้มจะเป็นผู้นำส่งออกในตลาดยุโรป หลังรัฐสภาสหภาพยุโรป (อียู) อนุมัติข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับเวียดนาม ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อการส่งออกสิ่งทอ รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเวียดนามไปยังยุโรป โดยข้อตกลงดังกล่าวจะยกเลิกการจัดเก็บภาษีสินค้าประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ ที่มีการส่งออก เริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือน ก.ค.นี้     


      3. เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติหน้าใหม่มีโอกาสไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามเตรียมเสนอร่างกฎหมายพัฒนาตลาดทุน เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนต่างชาติ และรองรับการ Upgrade เป็น “ตลาดเกิดใหม่” (Secondary Emerging market) ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เช่น การปรับ foreign limit เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ และการออก NVDR เป็นต้น ซึ่งในปี 62 เวียดนามมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ( FDI)  เติบโตเฉลี่ย 7.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยไหลเข้าภาคอุตสาหกรรมการผลิตมากที่สุด
               

     4.รัฐบาลเวียดนามเตรียมพัฒนาประเทศต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก รองรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันซีเกมส์ ปี 64 คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ  6.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 5.การเมืองมีเสถียรภาพ แม้ภายในปี 63 จะมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ด้วยระบบการเมืองที่มีความคล้ายคลึงกับประเทศจีนจึงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เป็นต้น


     “แม้ในระยะสั้นตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่ได้ถูกปรับอันดับขึ้น แต่การที่ตลาดหุ้นคูเวตได้เลื่อนชั้นจากกลุ่มประเทศตลาดชายขอบ (Frontier Market) ไปอยู่ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) จะส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามได้เพิ่มสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนในดัชนี MSCI กลุ่ม Frontier Market จากสัดส่วน 12.3 เปอร์เซ็นต์  ขึ้นเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่า 1 เท่าตัว” บรรณรงค์ กล่าว


      สำหรับการลงทุนใน  DR “E1VFVN3001” จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนในหุ้น หรือ ETF ต่างประเทศที่ไม่ต้องการความยุ่งยาก จากการไปลงทุนตรงในต่างประเทศ และต้องการลงทุนระยะกลาง-ยาว มากกว่าการซื้อรายวัน
 



www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

 

RECCOMMEND: FINANCE

หมัดเด็ด วิธีเอาชนะเงินเฟ้อ ฉบับคุณปู่ Warren Buffett ที่ใครก็ใช้ได้

หนึ่งในปัญหาของคนทำธุีกิจวันนี้คือ “ภาวะเงินเฟ้อ” เงินเท่าเดิม แต่กลับซื้อสินค้าและวัตถุดิบได้น้อยลงกว่าเดิม ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น แถมขายของก็ไม่ได้ดีเหมือนเก่า เลยชวนมาดูเคล็ดลับบริหารการเงินและลงทุนในภาวะเงินเฟ้อ จาก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เจ้าพ่อนักลงทุนกัน

รวมสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ช่วยลดภาระหนี้ ธุรกิจไม่สะดุด

ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ และวิกฤตที่รุมเร้าเข้ามา อาจทำให้ธุรกิจต้องสะดุด ขาดสภาพคล่องเลยอยากชวนมารีไฟแนนซ์สินเชื่อธุรกิจ อย่างน้อยเพื่อช่วยยืดระยะเวลาการใช้หนี้ออกไป ช่วยลดดอกเบี้ย ไปจนถึงอาจได้เงินอีกสักก้อนมาช่วยหมุนเวียนในธุรกิจ

ขายดีอย่างไรไม่ให้มีความเสี่ยง 5 เคล็ดลับบริหารสภาพคล่องจาก บสย.

อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของเอสเอ็มอีต้องสะดุดหยุดชะงักหรือไปต่อได้ไม่สุด คือ เงินทุนที่มีอยู่จำกัดจำเขี่ย ต่อให้ขายดีเพียงใด ถ้าไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันก็กู้เงินจากธนาคารไม่ได้