Main Idea
- โดยส่วนใหญ่เมื่อมีเงินเหลือเก็บ ผู้ประกอบการบางคนมักนำไปฝากอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ แต่รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วยังมีการลงทุนอีกหลายรูปแบบที่สามารถช่วยให้เงินงอกเงยขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ
- ลองมาดูวิธีการลงทุนระยะสั้น กลาง ยาว ที่อาจทำให้เงินฝากของคุณ ทำเงินได้มากกว่าที่เคยเป็นกัน
ผู้ประกอบการ SME หลายคน โดยเฉพาะรายย่อยที่ธุรกิจอาจยังไม่ได้เข้าระบบจริงจัง มีรูปแบบการบริหารจัดการที่ชัดเจน มักประสบปัญหาเรื่องบริหารจัดการการเงิน โดยส่วนใหญ่มักคิดว่า เงินธุรกิจ คือ เงินของตัวเอง และมักนำมาใช้จ่ายส่วนตัว สุดท้ายก็มีปัญหากระทบในภายหลัง เพราะว่าเงินในตัวเลขทางบัญชีกับเงินที่เหลืออยู่จริงๆ ไม่ตรงกัน เหตุเพราะเจ้าของหยิบเอาไปใช้ก่อน
ฉะนั้นสิ่งแรกที่ควรทำ คือ แบ่งเงินออกมาให้ชัดเจน ซึ่งนอกจากทำให้เรารู้ตัวเลขบัญชีที่แน่นอนแล้ว ยังทำให้มองเห็นภาพที่แท้จริงของธุรกิจว่ากำไรหรือขาดทุนอย่างไรด้วย ลองเริ่มต้นทำแบบนี้ก่อน
1.ตั้งเงินเดือนตัวเอง เริ่มจากหัดทำรายรับ-จ่ายส่วนตัว ว่าในหนึ่งเดือนเรามีค่าใช้จ่ายและกินอยู่เดือนละประมาณเท่าไหร่ จากนั้นจึงนำมาตั้งเงินเดือนให้กับตัวเอง เพื่อตีเป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ นำมาเข้าระบบบัญชี
2.แยกบัญชีธนาคารระหว่างธุรกิจ - ส่วนตัวให้ชัดเจน เงินธุรกิจ ก็เอาเข้าบัญชีธุรกิจ เงินส่วนตัวก็เอาเข้าบัญชีส่วนตัว
เสร็จแล้ว พอเราสามารถแบ่งเงินออกมาเป็นสัดส่วนที่ชัดเจนได้ ก็สามารถนำไปลงทุนต่อยอดได้ ซึ่งส่วนนี้ก็มีคำแนะนำอีกเช่นกัน
โดยส่วนใหญ่ปัญหาของเจ้าของธุรกิจ คือ เมื่อมีเงินเหลือเป็นกำไรแล้ว มักจะนำเงินดังกล่าวออกไปลงทุนส่วนตัว ซื้อหุ้น ซื้อประกัน โดยที่ไม่ได้ตีออกมาเป็นรายจ่ายของธุรกิจ ทำให้เวลาที่หักลบหากำไรจริงๆ ออกมาแล้ว ไม่ตรงกับผลประกอบการที่ได้บันทึกไว้ในบัญชีธุรกิจ ซึ่งความจริงแล้วอยากบอกว่าเราสามารถลงทุนในนามบริษัทได้เช่นกัน เงินบริษัทก็ลงทุนนามบริษัท เงินส่วนตัวก็ลงทุนในนามส่วนตัว ถ้าเงินกำไรของบริษัทเหลือ เราสามารถลงทุนในนามบริษัทได้ ทั้งกองทุน หุ้น
ระยะสั้น – ถ้าธุรกิจมีเงินสดเยอะๆ การฝากธนาคารออมทรัพย์อย่างเดียวอาจทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งบางครั้งดอกเบี้ยออมทรัพย์ในนามธุรกิจอาจน้อยกว่าในบุคคลด้วยซ้ำ
โดยหากถ้าเรามีเงินสดเยอะๆ เราสามารถนำไปลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ ได้ โดยมีสภาพคล่องแค่วันเดียว สมมติหากต้องการใช้เงินภายในวันนี้ เราสามารถขายล่วงหน้าได้ 1 วัน เงินจะเข้าไม่เกินเที่ยงของอีกวัน ทำให้เราสามารถนำไปใช้จ่ายในธุรกิจได้ตามปกติ ไม่สะดุด แถมได้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากออมทรัพย์ทั่วไป ดอกเบี้ยขึ้นเป็นรายวันเลย ความสี่ยงต่ำไม่มีติดลบ พูดง่ายๆ ว่า คือ การออมทรัพย์ในรูปแบบกองทุนรวม แต่ทั้งนี้ต้องเปิดเป็นการลงทุนในนามบริษัท
ตัวอย่างธุรกิจที่เห็นได้ชัดในการเลือกลงทุนแบบนี้ คือ โมเดิร์นเทรด ห้างร้านต่างๆ ที่มีการดีลจ่ายเป็นเครดิต 30 วัน 60 วัน โดยกว่าจะถึงเวลาที่ต้องชำระเงินจริงในระหว่างที่ขายสินค้าได้ ก็สามารถนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินก่อนได้ เมื่อถึงรอบการชำระที่ดีล ก็ค่อยขายออกมา เรียกว่ามีทั้งเงินชำระหนี้และกำไรที่งอกเงยขึ้นมาด้วย เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบการฝากเงินเท่านั้น
ระยะกลาง หรือประมาณ 2-3 ปี หากกำไรที่เหลืออยู่ไม่รู้จะเอาไปลงทุนอะไรดี ให้ลองลงทุนในกองทุนรวม หาระดับความเสี่ยงที่รับได้ เป็นการผสมผสานพอตลงทุน ซึ่งถ้าเลือกความเสี่ยงกลางๆ ก็อาจมีรายได้เพิ่มขึ้นมาสัก 3-5 เปอร์เซ็นต์ต่อปีทีเดียว โดยการลงทุนในกองทุนรวมเหมาะกับผู้ที่ยังไม่ชำนาญเรื่องการลงทุนด้วยตัวเอง ไม่ค่อยมีเวลาติดตามข่าวสาร และยอมรับความเสี่ยงได้สูง
ระยะยาว – ในข้อนี้จะเป็นการมองเผื่อไปถึงค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่างเช่นกฎหมายแรงงาน มีการออกข้อบังคับว่าพนักงานที่อยู่กับบริษัทมานานเกิน 10 ปีขึ้นไป เมื่อมีเหตุจำเป็นให้ต้องเลิกจ้าง โดยไม่ได้กระทำผิดใดๆ หรือถึงเวลาเกษียณอายุ บริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยให้ล่วงหน้า 10 เดือนขึ้นไปของฐานเงินเดือนงวดสุดท้าย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นบริษัทอาจขาดสภาพคล่องได้ หากไม่มีการเตรียมการวางแผนที่ดีมาก่อน
วิธีการ คือ ลองกลับไปนับภายในบริษัทของคุณว่ามีพนักงานมีกี่คนที่มีแนวโน้มอีกไม่กี่ปีจะเกษียณอายุ 55 ก็ให้แยกเงินออกมาส่วนหนึ่งทยอยเก็บเงินให้พนักงานเหล่านั้นในรูปแบบการลงทุนผ่านกองทุนรวม เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายผลตอบแทน ก็สามารถนำกำไรดังกล่าวออกมาจ่ายได้ โดยไม่ต้องใช้เงินต้นที่ลงทุนไป หรือถึงต้องจ่ายก็จ่ายเพียงส่วนต่างไม่เท่าไหร่ ทำให้ธุรกิจไม่สะดุด ดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่น
เห็นไหมละว่า แค่วิธีง่ายๆ ที่เปลี่ยนรูปแบบการฝากเงิน แค่นี้ก็สามารถสามารถมีกำไรงอกงามออกมาได้แล้ว
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี