รักน้ำ รักปลา รักท้องทะเล ไปกับตีนกบจากเส้นใยถ่าน By Sea Concept Store

TEXT : พิมพ์ใจ พิมพิลา
PHOTO : Sea Concept Store 






Main Idea
 
  • ธุรกิจรักษ์โลกอยู่ในแทบทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น อาหาร หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์กีฬาก็ยังใส่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจุดมุ่งหมายไม่ใช่แค่เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า หรือสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์เท่านั้น หากแต่ยังแสดงเจตนารมณ์ที่จะปกป้องดูแลโลกใบนี้ ให้รอดพ้นปลอดภัยจากภาวะโลกร้อนอีกด้วย
 
  • “Sea Concept Store” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้สร้างสรรค์อุปกรณ์กีฬาทางน้ำอย่าง ตีนกบจากเส้นใยถ่าน โดยใช้วัสดุจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เหล่าคนรักกีฬาทางน้ำแบบ Freedive ได้ลองใช้ ไปทำความรู้จักและชื่นชมความงามของท้องทะเลกับพวกเขากัน!

___________________________________________________________________________________________



     หลายปีมานี้ ทุกคนคงได้ยินข่าวสารมากมายเกี่ยวกับผลกระทบอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ไม่ว่าจะบนบก  ในน้ำ หรือแม้กระทั่งสภาพอากาศที่โหดร้ายขึ้นทุกวัน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกมากกว่าเดิมหลายเท่า แม้กระทั้งธุรกิจมากมายต่างก็พากันปรับตัวเพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการด้วยการออกแคมเปญหรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ใส่ใจโลกใบนี้มากขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจของ Sea Concept Store (เอเชีย ฟรีไดฟ์ บูทีค) ศูนย์รวมสินค้าและอุปกรณ์กีฬาฟรีไดฟ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ที่ได้ศึกษาและวิจัยผลิตภัณฑ์ออกมาไม่ต่างกัน





     ก่อนอื่นมารู้จัก Freedive กันก่อน! ฟรีไดร์ฟเป็นกีฬาทางน้ำของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความท้าทายและอยากสัมผัสโลกใต้ท้องทะเล อีกทั้งยังใช้อุปกรณ์เพียงแค่สามชิ้นอย่าง หน้ากากกันน้ำ (Mask) ท่อเครื่องมือช่วยหายใจใต้น้ำ (Snorkel) และ ตีนกบ (Fins) ก็สามารถลงไปแวกว่ายเพื่อชมความงามของปะการังได้เลย โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมายเหมือนการดำน้ำทั่วไป แต่ถ้าเทียบความลึกแน่นอนว่าการดำน้ำย่อมลงไปได้มากกว่า





     และจากความนิยมบวกกับต้องการหาวัสดุแข็งแรงทนทาน มีต้นทุนต่ำ ไม่ใช่ของนำเข้าจากต่างประเทศ ที่สำคัญคือต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ ส่งผลให้แบรนด์ Sea Concept Store  ได้ออกผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ Carbon Diving Fins หรือ ตีนกบจากเส้นใยถ่าน ออกมาจำหน่าย ซึ่งมีความแตกต่างกับตีนกบในอดีตเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัสดุคุณภาพแต่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการย่อยสลาย ด้วยการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ หรือ เส้นใยคาร์บอนที่สามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อันเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนได้มากถึง 20 ตันต่อทุกการผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ 1 ตัน มาทดแทนการใช้ยางหรือการใช้พลาสติกแบบเดิมนั่นเอง





     ถึงแม้ว่าทุกคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคาร์บอนไฟเบอร์แต่ในความเป็นจริงเทคโนโลยีนี้ได้เกิดขึ้นมากว่า 20 ปีแล้วโดยได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่ชัดเจนมากที่สุดนั่นคือมันถูกพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและในอนาคตผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้จะสามารถใช้ประโยชน์รวมไปถึงการพัฒนาให้เกิดประโยชน์อื่นๆ ได้อย่างแน่นอน 





     จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้นอกจากการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือมีน้ำหนักเบากว่าและบางกว่าตีนกบทั่วไป ผู้ซื้อสามารถปรับเปลี่ยนความกว้างและความยาวรวมไปถึงสามารถปรับระดับความยืดหยุ่นของตีนกบตั้งแต่อ่อน ปานกลางไปจนถึงแข็งได้ ซึ่งต่างจากตีนกบที่ผลิตในรูปแบบเดิมที่ไม่สามารถปรับความแข็งได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความทนทาน ไม่เป็นรอยขูดขีดได้ง่ายอีกด้วย 


     คุณสมบัติที่พิเศษเหล่านี้เองที่ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ตีนกบจากเส้นใยถ่าน ได้รับรางวัลแบรนด์สินค้ายอดเยี่ยมจาก Marketing association of Thailand (MAT Award 2019) และล่าสุดยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศประเภทประหยัดพลังงานและนวัตกรรมสีเขียวจากงาน Thailand green design awards 2020 การประกวดผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมาอีกด้วย





     นับเป็นอีกไอเดียรักษ์โลกที่น่าสนใจ เพราะไม่เพียงตอบโจทย์โลกและสิ่งแวดล้อมได้ดีเท่านั้น หากทว่ายังตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งาน และเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้าไปแก้ปัญหาผู้บริโภคได้อย่างดีอีกด้วย SME ที่สนใจก็สามารถนำวิธีคิดนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้




www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

รวม 3 แบรนด์มะขาม รายได้ 100 ล้าน

พาไปส่อง 3 แบรนด์มะขามดัง ทั้งมะขามสารัช บ้านมะขาม และจี๊ดจ๊าด ที่บอกเลยว่ารายได้ไม่ธรรมดา เพราะเติบโตจนมีรายได้หลัก 100 ล้านบาท

The Bus Collective เปลี่ยนรถบัสเก่าเป็นโรงแรมสุดชิค ผสานดีไซน์ล้ำกับการท่องเที่ยวยั่งยืนอย่างลงตัว

โมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนรถบัสปลดระวางให้กลายเป็น “ที่พักระดับพรีเมียม” โปรเจกต์นี้ไม่เพียงแต่สร้างมูลค่าใหม่จากทรัพยากรที่หมดอายุการใช้งาน แต่ยังตอบโจทย์เทรนด์ การท่องเที่ยวยั่งยืนที่กำลังเป็นกระแสไปทั่วโลก