เชื่อว่าพนักงานโรงแรม นักศึกษาการโรงแรมและบุคลากรสายงานด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวในขณะนี้น่าจะกำลังมีคำถามในใจว่า “จะเอาอย่างไรกับหน้าที่การงานของตัวเองดี?” ด้วยความที่ปัจจุบันนี้ไม่น่าจะมีใครที่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า “ธุรกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเมื่อไหร่?” และแม้จะมีวัคซีนออกมาแล้วในอนาคตก็ไม่น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของคำถามนี้
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์บางรายคาดการณ์ไปไกลถึงขนาดที่ว่า ธุรกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยวน่าจะฟื้นตัวช่วงไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ของปีหน้า 2564 ด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เรายังคงต้องรอคอยคำตอบกันต่อไป แต่ในฐานะของคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีภาระค่าใช้จ่ายต้องเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว ความไม่ชัดเจนด้านอาชีพ ณ ขณะนี้อาจทำให้เราจำเป็นที่จะต้องมองหาทางออกอื่นสำรองไว้เป็นทางเลือกเพื่อความอยู่รอด เพราะในสถานการณ์นี้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากพอๆ กัน
คำถามต่อมาคือในเมื่อเราทำงานด้านการโรงแรมแล้วเราจะสามารถหาโอกาสในสายงานอาชีพอื่นอะไรได้บ้าง?
หนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในระดับนโยบายระดับชาติที่น่าสนใจและสามารถปรับเพิ่ม (Upskill) จากงานโรงแรมเพื่อไปหาโอกาสในอุตสาหกรรมนั้นได้ นั่นคือ อาชีพในอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพหรือ Wellness Industry
มีการคาดการณ์กันว่า หากโควิด-19 คลี่คลายลงด้วยชื่อเสียงด้านมาตรฐานสาธารณสุขของประเทศไทยทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในระดับโลก อัตราค่ารักษาพยาบาลที่ถูก อุปนิสัยที่มีความเป็นมิตรของคนไทย อาหารการกินที่หลากหลาย และที่สำคัญการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยที่มีคุณภาพติดอันดับต้นๆ ของโลก จะทำให้ไทยเราเป็นอีกหนึ่งประเทศเป้าหมายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในแบบ Medical Tourism และ Wellness Tourism
และนี่คือโอกาสด้านอาชีพที่พนักงานโรงแรมสามารถนำไปเป็นแนวทางในการปรับตัวเพื่อ Upskill ได้
1. Fitness – Personal Trainer
โดยปกติแล้วงานโรงแรมจะมีฝ่าย Fitness อยู่ในบางโรงแรม การที่จะปรับตัวให้เข้าสู่อุตสาหกรรม Wellness นั้นเราสามารถ Upskill ตัวเองได้โดยการเข้าอบรมเป็นผู้ฝึกสอนส่วนตัว (Personal Trainer) เพื่อออกแบบ Class ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเพศและวัย ซึ่งสามารถทำงานได้ทั้งใน Wellness Hotel / Resort, Nursing Home, Day Care และยังสามารถทำเป็น Freelance หรือธุรกิจส่วนตัวสอดรับกับเทรนด์ของผู้บริโภคในความต้องการการมีรูปร่างและสุขภาพที่ดีได้ สำหรับสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรการเป็น Personal Trainer และสามารถออกใบประกาศนียบัตรรับรองได้ เช่น Planforfit, Fitthai. เป็นต้น
เมื่อพูดถึงภาพความเป็น Wellness Resort โยคะคืออีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นภาพจำของผู้คนทั่วไปเมื่อนึกถึงการเข้าพักในสถานที่ที่เป็น Wellness Resort การเป็นครูสอนโยคะจะทำให้เราสามารถออกแบบ Class สอนโยคะในแบบกลุ่มย่อยหรือกลุ่มใหญ่ที่มีรูปแบบการปฏิบัติสอดคล้องกับผู้เข้าร่วมแต่ละเพศและวัยต่างๆ นอกจากจะทำงานในสาย Wellness ได้แล้วการเป็นครูสอนโยคะ ยังสามารถทำให้เราประกอบธุรกิจส่วนตัวในรูปแบบ Freelance ได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งการเป็นผู้ฝึกสอนส่วนตัวหรือรับสอนตามสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่การมี Club สำหรับฝึกโยคะเป็นของตนเองก็ตาม สำหรับการเป็นครูสอนโยคะสามารถเริ่มตันได้จากการเข้ารับการฝึกอบรมตามสถาบันที่มีการเปิดสอน เช่น โรงเรียนบางกอกโยคะ ที่มีหลักสูตรการสอนเป็นครูโยคะที่จะทำให้ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถนำความรู้ไปออกแบบโปรแกรมโยคะเพื่อประกอบอาชีพได้ด้วย
3.นักโภชนาการ
เป็นอีกหนึ่งสายอาชีพที่สำคัญใน Wellness Industry การเป็นนักโภชนาการจะเกี่ยวข้องกับการออกแบบอาหารและเครื่องดื่มที่เหมาะสมกับเพศและวัย รวมทั้งการแปลงคำสั่งของแพทย์มาเป็นค่าพลังงานอาหารที่ผู้ป่วยควรจะได้รับในกรณีที่ต้องดูแลผู้ป่วยพักฟื้น การเป็นนักโภชนาการยังสามารถเพิ่มโอกาสในการประกอบธุรกิจส่วนตัวได้ด้วย เช่น การออกแบบคอร์สอาหารลดน้ำหนัก เมนูอาหารเพื่อล้างพิษในร่างกาย (Detox)
โดยทั่วไปใน Wellness Resort เราจะได้เห็นProgram ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มาพร้อมกับการเข้าพักในลักษณะของ “มื้ออาหารเพื่อสุขภาพที่เน้นการ Detox” ล้างสารพิษในร่างกายอันเป็นอีกหนึ่งจุดขายในความเป็น Wellness Resort ปัจจุบันการเป็นนักโภชนาการสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่การเรียนในระดับอุดมศึกษาและในบุคคลทั่วไป มีสถานบันที่สอนด้านการโภชนาการอยู่ เช่น คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ฝ่ายโภชนาการ เป็นต้น
สายอาชีพแห่งอนาคตสอดรับกับการก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในปี 2564 ประเทศไทยจะมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ถึงร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด (อนันต์ อนันตกูล ภาคีสมาชิก สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา) ซึ่งผู้สูงอายุในปัจจุบันมีกำลังซื้อสูงรวมทั้งบุตรหลานที่มีกำลังจ่ายสูงเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่ดี การเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุจะสามารถทำงานใน Nursing Home, Day Care, Wellness Center, หรือการทำงานแบบ Freelance รับดูแลผู้สูงอายุนอกสถานที่ได้เช่นกัน
แต่การจะเข้าสู่สายอาชีพนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขั้นตอนของการศึกษาพื้นฐานด้านกายวิภาคศาสตร์ การดูแลสุขภาพอนามัยของร่างกาย การดูแลผู้ป่วยกรณีต่างๆ เช่น ผู้ป่วยติดเตียง มีแผลกดทับ ผู้ป่วยที่ต้องได้รับออกซิเจน เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยมีการสอนหลักสูตรนี้อยู่ ตัวอย่างเช่น Bangkok Intercare School หรือ มหาวิทยาลัย ฟาร์อีสเทิร์น (FEU: Wellness Training Center) เป็นต้น
เป็นสายอาชีพที่เริ่มต้นได้ง่ายที่สุดในการก้าวจากพนักงานโรงแรมสู่อุตสาหกรรม Wellness การเป็นล่ามแปลภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะจะอยู่ในขั้นตอนของ Communication ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้บริการ กล่าวคือ เป็นตัวกลางในการแปลงความต้องการให้ได้รับในสิ่งที่ต้องการได้ตรงจุดที่สุด ถ้าจะมองภาพความสำคัญของล่ามแปลภาษาเราสามารถศึกษาได้จากกรณีของความนิยมของชาวต่างชาติในการเดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย (Medical Tourism) และต้องอยู่พักฟื้น
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยและ www.bltbangkok.com/news/4367/ ระบุว่าในปี 2018 มีชาวต่างชาติที่นิยมเดินทางมารักษาพยาบาลและพักฟื้นใน โรงพยาบาลเอกชนของไทยประกอบด้วย กลุ่มประเทศ Middle East 12.5 เปอร์เซ็นต์ เมียนมาร์ 8.7 เปอร์เซ็นต์ อเมริกา 6.2 เปอร์เซ็นต์ สหราชอาณาจักร 5 เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่น 4.9 เปอร์เซ็นต์ และกัมพูชา 2.2 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มว่านักท่องเที่ยวจีนกลุ่มผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากและกลุ่มที่เน้นความงามจะเพิ่มปริมาณการเข้ามาใช้งานมากขึ้นด้วยในอนาคต
จะเห็นได้ว่าแต่ละประเทศมีภาษาที่แตกต่างกันไม่ได้จำกัดเฉพาะภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษเท่านั้น จากตัวอย่างจะเห็นว่า ภาษาอาหรับ / อารบิก ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน หรือแม้แต่ภาษาเพื่อนบ้านใกล้ตัวเราอย่าง ภาษาเมียนมาร์ ภาษากัมพูชา ถือเป็นกลุ่มภาษาที่สามารถสร้างโอกาสในสายงาน Medical Tourism และ Wellness Tourism ได้เช่นกัน
สายอาชีพนี้ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม แต่หากพูดถึงความสอดคล้องกับอุตสาหกรรม Wellness การเป็น Perfumer สามารถทำให้เราออกแบบกลิ่นต่างๆ ที่ใช้ในส่วนของ SPA และช่วยเพิ่มมูลค่าของการใช้บริการ SPA ได้ และหากกลิ่นที่เราออกแบบมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นที่ชื่นชอบในระดับ Mass Market ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เราสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ด้วยเช่นกัน บางคนสามารถผลิตน้ำหอมกลิ่นที่เป็นเอกลักษณะของตัวเองขายได้ ในประเทศฝรั่งเศสมีการเรียนการสอนหลักสูตร Perfumer กันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปจนถึงขั้นเป็น Professional Perfumer มีสถาบันสอนทำน้ำหอมที่มีชื่อเสียงอย่าง GIP - Grasse Institute of Perfumery ที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ หรือแม้แต่สถาบัน Givaudan : International Flavors & Fragrances ของสวิสเซอร์แลนด์ก็เป็นอีกแห่งที่มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน
สำหรับประเทศไทยเรานั้นก็มีสถาบันสอนการปรุงน้ำหอมด้วย เช่น Artisan Valley และ Perfumer Academy Thailand นอกจากนี้ยังมีการจัดเป็น Workshop ย่อยให้ผู้ที่มีความสนใจแต่ยังไม่สะดวกเรียนแบบจริงจัง เช่น Workshop : Scent Designer (https://readthecloud.co/scent-designer-workshop/) นักออกแบบกลิ่นให้น้ำหอมและสินค้าที่จัดโดย The Cloud และ KBANKLIVE
ทั้งหมดที่รวบรวมมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโอกาสในสายงาน Wellness Industry ที่พนักงานโรงแรมสามารถปรับตัวเข้ารับโอกาสนี้ได้ ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงการทำงานในลักษณะ Multi Skill กันมาบ้างแล้ว ประเภทการทำงานในโรงแรมที่ต้องทำงานได้หลากหลาย เช่น ในแผนก Front Office ต้องสามารถทำงานได้ทั้ง G.S.A, G.R.O, Bell Boy, Operator หรือแม้แต่การทำงานข้ามแผนก เช่น เป็น Front Office แต่สามารถทำงานแผนก Housekeeping ได้แต่ในอนาคต Multi Skill นี้อาจจะไม่เพียงพอจากการแข่งขันด้านทักษะแรงงานที่สูงขึ้น รวมทั้งความไม่แน่นอนด้านอาชีพจากการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้นของอุตสาหกรรมต่างๆ จึงจำเป็นที่เราจะต้องเป็น Multi Skill แบบ “Cross Industry” ข้ามอุตสาหกรรมไปเลยจะทำให้มีแต้มต่อในด้านอาชีพและทางเลือกมากกว่า
ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของทักษะแห่งอนาคต ที่คนโรงแรมจำเป็นจะต้องศึกษาและหาทางรับมือให้เร็วที่สุด
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี