มาตราการพักชำระหนี้ 2 เดือน ช่วย SME ได้จริงหรือไม่

TEXT: นเรศ เหล่าพรรณราย
 

 
       จากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทำให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดโครงการมาตราการพักชำระหนี้เป็นระยะเวลา 2 เดือน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารเฉพาะกิจของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ต่างเปิดให้ลูกค้ายื่นความจำนงที่จะเข้าร่วมโครงการ 


       แต่ในความเป็นจริง โครงการนี้ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้จริงหรือไม่??


       ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่าเอสเอ็มอีที่จะเข้าร่วมโครงการได้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้คือ


       หนึ่ง..ยังไม่ได้เป็นหนี้เสียหรือถูกจัดให้เป็นลูกหนี้ NPL แล้วถึงจะสมัครเข้าร่วมโครงการได้


      สอง..เป็นกิจการที่มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวะที่รัฐบาลประกาศให้มีการ Lockdown จนต้องปิดกิจการชั่วคราว ไม่นับรวมกิจการที่ยังเปิดดำเนินกิจการอยู่ได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐเหมือนกัน





      หลังจากที่ได้รับการพิจารณาจากธนาคารเจ้าหนี้เรียบร้อยแล้ว กิจการดังกล่าวจะได้รับการ “พักจ่ายหนี้” ทั้งในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 2 เดือน อย่างไรก็ต้องต้องเข้าใจว่าเป็นเพียงการ “พักจ่ายหนี้” ไม่ได้ยกหนี้ให้ไม่ต้องจ่ายอีก มูลหนี้ที่พักไปยังเป็นภาระของผู้ประกอบการต่อไป


       อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยในช่วงสองเดือนที่พักไปจะยังคงเท่าเดิมไม่มีการเรียกเก็บเพิ่ม ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ โดยหนี้ที่พักไปจะถูกรวบไปเป็นส่วนที่ต้องจ่ายต่อจากส่วนของสัญญาเดิม เช่น เดิมกำหนดชำระหนี้ก้อนสุดท้ายในเดือนธันวาคม สถาบันการเงินอาจจะใช้วิธีขยายมูลหนี้ที่พักไปสองเดือนต้องมาชำระในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ หรืออาจจะใช้วิธีการเกลี่ยมูลหนี้ทั้งส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยไปรวมในยอดหนี้สองเดือนสุดท้ายแล้วแต่การตัดสินใจของสถาบันการเงิน





       ทั้งนี้ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการจะไม่ถือว่าผิดนัดชำระหนี้จึงไม่มีประวัติในเครดิตบูโรแต่อย่างไรซึ่งสถาบันการเงินจะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ เพิ่มเติม รวมถึงลูกหนี้ที่เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้อยู่แต่ยังไม่ได้เป็น NPL ก็สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้


       ประเภทของสินเชื่อที่สามารถเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ 2 เดือนได้มีตั้งแต่สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิต จึงถือว่าครอบคลุมสำหรับลูกหนี้ทุกประเภท





       โดยสรุปคือมาตรการดังกล่าวเหมาะสมกับเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากมาตราการของภาครัฐโดยตรง แม้ว่ามูลหนี้จะไม่ได้หายไปเพียงแค่ชะลอการชำระออกไปเพื่อไม่ให้อยู่ในสถานะของการผิดนัดชำระหนี้ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการยังคงสถานะของลูกหนี้ชั้นดีต่อไปได้และต้นทุนของหนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นซึ่งยังดีกว่าไม่มีมาตรการช่วยเหลือใดๆออกมาเลย


       การคงสถานะลูกหนี้ที่ดีโดยรักษาสถานะของตัวเองไม่ให้เป็น NPL อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงินยังคงเชื่อมั่นที่จะปล่อยเงินกู้ให้ต่อไปซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าหลังจากที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดหายไปอาจจะมีมาตราการช่วยเหลืออื่นๆตามมาซึ่งผู้ประกอบการที่ยังมีเครดิตที่ดียังมีโอกาสที่จะเข้าร่วมได้อยู่ แต่ถ้าขาดเครดิตไปอาจจะไม่มีทางเข้าร่วมโครงการอื่นๆ ได้อีก จึงแนะนำให้เอสเอ็มอีที่ได้รับความเดือดร้อนจากมาตราการภาครัฐให้เจรจากับสถบันการเงินเพื่อเข้าร่วมโครงการนี้ดูไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายแต่อย่างไร
 
 




www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: FINANCE

7 เรื่องต้องรู้ กู้เงินแบบไหนอนาคตสดใส ไม่ตกเป็นทาสหนี้

ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นหนี้ แต่ถ้าจำเป็นต้องเป็น เป็นแบบไหนถึงจะดี ชวนผู้ประกอบการมาดู 7 ข้อต้องห้ามกู้เงินแบบไหนไม่ให้ตกเป็นทาสหนี้กัน

พลิกอุปสรรค สู่ความสำเร็จ สร้างธุรกิจรายได้หลักร้อยล้าน

ทุกย่างก้าวในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเผชิญวิกฤตหรือได้รับโอกาส มุมมองในการบริหารธุรกิจก็เป็นสิ่งสำคัญ และตัวช่วยที่ขาดไม่ได้ในการนำพาธุรกิจพุ่งทะยานสู่รายได้หลักร้อยล้าน คือ เงินทุน พบกับ 4 ธุรกิจ พลิกจากอุปสรรค เป็นสร้างรายได้ทะลุร้อยล้าน