“จากดาวรุ่ง สู่เดือนมืด” วิกฤตเปลี่ยนชะตา 3 อุตสาหกรรม ผลิต ค้าปลีก-ค้าส่ง โรงแรมและที่พัก

TEXT : กองบรรณาธิการ





      ทำไมจู่ๆ อุตสาหกรรมหลักของไทยที่เคยเป็นดาวรุ่ง วันนี้ถึงได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงไปเสียได้ KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร เผยข้อมูลคุณภาพสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ ที่สะท้อนถึงปัญหาด้านความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจไทยในหลายอุตสาหกรรมที่เริ่มชัดเจนมาตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด-19 ด้วยซ้ำ และพบว่า “อุตสาหกรรมการผลิต การค้า และการท่องเที่ยว” มีความเปราะบางมาตั้งแต่ก่อนวิกฤต โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ SME แล้วอะไรล่ะคือสาเหตุ? มาหาคำตอบไปพร้อมกัน




 
อุตสาหกรรมผลิต ขยายตัวลดลงตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
 

     อดีตอุตสาหกรรมที่เคยยิ่งใหญ่อย่าง “อุตสาหกรรมการผลิต” นับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มและการจ้างงาน ด้วยขนาดที่ใหญ่ถึง 27 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP  และมีการจ้างงานสูงถึง 14 เปอร์เซ็นต์ ของผู้มีงานทำทั้งหมด แต่ทว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวกลับปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่กระทบต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการ ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก


     โดยส่วนหนึ่งของการชะลอลงของภาคการผลิตไทยเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจซึ่งพึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก


      แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกส่วนสำคัญก็คือ ปัจจัยภายในจากการสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันของไทย จากเหตุผลต่อไปนี้


       1.สินค้าและระบบโครงสร้างการผลิตที่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและธุรกิจที่กำลังเปลี่ยนไป โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงที่ไทยไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง และไม่ได้เป็นฐานการผลิตหลักของบริษัทข้ามชาติในธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้น


      2. ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นจากทั้งจำนวนแรงงานโดยรวมที่ลดลงตามโครงสร้างประชากร และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะตรงกับความต้องการของธุรกิจในอนาคต


      และ 3. เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่ามาโดยตลอดในช่วงที่ผ่านมา จากปัจจัยเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยซึ่งส่งผลลบต่อผู้ส่งออกทั้งการแข็งขันด้านราคาที่ทำได้ยากขึ้นและรายได้ในรูปของเงินบาทที่มีมูลค่าลดลง


     ผลกระทบที่ตามมานอกจากรายได้ที่หายไปก็คือ การปิดกิจการลงของโรงงาน หรือการย้ายฐานการผลิต (Relocation) ออกจากไทยไปยังประเทศอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า เช่น เวียดนาม ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วกับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้แรงงานเข้มข้น และกำลังเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมส่งออกหลักของไทย รวมแล้วคิดเป็น 49 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด


     แม้ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีการปรับตัวอย่างมากเพื่อรับมือกับมรสุมทั้งภายในและภายนอกที่กำลังเผชิญอยู่ เช่น การปรับมาใช้เครื่องจักรเพื่อทดแทนแรงงานในการผลิต แต่การปรับตัวอาจไม่เร็วหรือมากพอที่จะสามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงที่จะถูกเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ เนื่องจากการลงทุนของไทยในด้านนี้ยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น



 

เมื่อค้าปลีกและค้าส่ง สู้กันบนโลกใบใหม่


       ด้านอุตสาหกรรมค้าปลีก-ค้าส่ง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยรองจากอุตสาหกรรมการผลิต ด้วยขนาดที่ใหญ่ถึง 17 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP ในปัจจุบันโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในประเทศไทยสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) ซี่งเป็นผู้เล่นหลักของอุตสาหกรรมในระยะหลัง เช่น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อรูปแบบต่างๆ เป็นต้น และ 2. ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งดั้งเดิม (Traditional Trade) ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก เช่น ร้านค้าปลีกค้าส่งทั่วไป ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า และร้านขายของชำ เป็นต้น


      โดยรู้หรือไม่ว่า NPL ของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา โดย 3 ใน 4 เป็น NPL ที่เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้ของธุรกิจร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งมี NPL ratio สูงถึง 7.1 เปอร์เซ็นต์ ของสินเชื่อทั้งหมดที่ให้แก่ร้านค้าขนาดเล็ก หรือเกือบ 3 เท่าเมื่อเทียบกับกรณีร้านค้าขนาดใหญ่  นอกจากนี้ ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของร้านค้าขนาดเล็กที่อยู่ในระดับสูงและสูงขึ้นต่อเนื่องนั้นยังเกิดขึ้นกับร้านค้าในแทบทุกประเภท เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น  





      ซึ่ง KKP Research มองว่า 3 สาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจร้านค้าเล็กไม่สามารถแข่งขันหรือปรับตัวได้เทียบทันกับธุรกิจร้านค้าใหญ่ ได้แก่


     1. สนามแข่งขันไม่เท่ากัน


      รายได้ของร้านค้าขนาดเล็กซึ่งส่วนมากเป็นร้านค้าแบบ Traditional Trade ได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากการเข้ามาแย่งส่วนแบ่งรายได้ของร้านค้า Modern Trade จาก 1.การขยายสาขาแบบเชิงรุกในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมกับการปรับโมเดลธุรกิจให้ตอบโจทย์คนในพื้นที่มากขึ้น เช่น การเพิ่มขึ้นของร้านสะดวกซื้อขนาดเล็กซึ่งเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาและถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของร้านค้า Traditional Trade ด้วยคุณลักษณะที่เหมือนกันแทบทุกประการ แต่ต่างกันตรงระบบบริหารจัดการที่ดีและทันสมัยกว่าซึ่งเป็นข้อได้เปรียบหลักในการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ และ 2. การควบรวมกิจการระหว่างผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะการควบรวมกันของกิจการใหญ่ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้กับกิจการภายหลังการควบรวมแล้ว ยังเป็นการเพิ่มอำนาจตลาดให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในส่วนของตลาดจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภค (Monopoly power) และในตลาดจัดหาสินค้าจากผู้ผลิต (Monopsony power)


      2. ขนาดตลาดที่เล็กลง + ขาดโอกาสในการปรับตัว


     นอกจากภาวะการแข่งขันในประเทศที่สูงขึ้นแล้ว เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวชะลอลง โครงสร้างประชากรที่แก่ตัวลงรวดเร็ว ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ต่างเป็นปัจจัยฉุดรั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ จนอาจทำให้รายได้ของธุรกิจได้รับผลกระทบจากยอดขายที่ลดลง ด้วยเหตุนี้จึงเห็นผู้ค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่หลายราย นอกจากการทำโปรโมชั่นราคาพิเศษเพื่อรักษาส่วนแบ่งรายได้ในประเทศแล้ว ยังพากันกำหนดยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการขยายสาขาในต่างประเทศเพื่อเพิ่มช่องทางให้กับรายได้ เช่น ไปในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน CMLV ที่กำลังเติบโตได้ดีอีกด้วย





      3. ออฟไลน์ vs. ออนไลน์


     นอกจากนี้คู่แข่งของร้านค้าขนาดเล็กยังไม่ได้มีแค่การขยายสาขาของธุรกิจขนาดใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการขยายตัวของร้านค้าที่ขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ ธุรกิจ e-Commerce ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2020 ตลาด e-Commerce ในประเทศไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 6,814 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2010 ที่ 524 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ 29 เปอร์เซ็นต์


     ทั้งนี้ e-Commerce ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ e-Commerce ในไทยเป็นไปอย่างก้าวกระโดด


      ขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ของร้านค้าขนาดเล็กได้รับผลกระทบอย่างหนักมาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 และไม่สามารถแข่งขันด้านราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศได้ เนื่องจากต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงกว่า และขาดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการ อีกทั้งเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะกระโดดไปหาตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศเช่นเดียวกับธุรกิจรายใหญ่ ส่งผลให้ร้านค้าขนาดเล็กนอกจากจะถูกกดดันจากขนาดของตลาดในประเทศที่เล็กลงและการแข่งขันด้านราคาจากรายใหญ่แล้ว ยังไม่สามารถปรับตัวเพื่อหาโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ในต่างประเทศได้



 

โรงแรมและที่พัก ห้องพักล้น คนหดหาย


     อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ส่งสัญญาณปัญหามาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 คือ กลุ่มโรงแรมและที่พัก ที่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังส่งผลให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและที่พักที่มีการเปิดใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลจากศูนย์วิจัยด้านตลาดท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า ในช่วงปี 2016–2020 มีธุรกิจโรงแรมและที่พักเปิดใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 3 หมื่นกว่าห้องทุกปี จนล่าสุด ณ สิ้นปี 2020 มีจำนวนสถานประกอบการที่เป็นที่พักแรมทุกประเภทอยู่ที่ 20,559 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 783,407 ห้อง โดยภาคใต้มีจำนวนห้องพักมากที่สุด คิดเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนห้องพักทั้งหมด  ทั้งนี้ยังไม่รวมผู้ให้บริการที่ไม่จดทะเบียนใบอนุญาตประกอบการอย่างถูกต้องและห้องพักที่ให้บริการบนแพลตฟอร์มจองที่พักออนไลน์ เช่น Airbnb ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะหลัง


     ผลกระทบจากการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมและที่พักเริ่มเห็นสัญญาณมาตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 จากภาวะ “อุปทานล้นตลาด” (Oversupply) สะท้อนจากอัตราการเข้าพัก (Occupancy rate) ขยายตัวชะลอลง โดยเฉพาะหลังปี 2015 ที่อัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวขยายตัวชะลอลงต่อเนื่องจนกระทั่งติดลบในปี 2019 สวนทางกับจำนวนโรงแรมและที่พักที่ยังคงเปิดใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี
               

     สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ การแข่งขันด้านราคา ระหว่างผู้ให้บริการ โดยเฉพาะการทำโปรโมชั่นราคาพิเศษเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น โรงแรมระดับ 5 ดาว ลงมาแข่งขันกับ 4 ดาว และ 4 ดาวลงมาแข่งขันกับ 3 ดาว เป็นต้น ส่งผลให้ราคาห้องพักโดยเฉลี่ยปรับตัวลดลง กระทบต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ให้บริการด้อยลง โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่ส่วนใหญ่มีข้อจำกัดด้านต้นทุนการดำเนินงานและปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว





     อย่างไรก็ตาม ข้อมูล NPL ratio ในภาพรวมของธุรกิจโรงแรมและที่พักอาจไม่แสดงให้เห็นถึงความวิกฤตของปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะถูกบดบังด้วยข้อมูลของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการธุรกิจที่พักขนาดเล็ก แต่หากพิจารณาเฉพาะข้อมูลของ SME จะพบว่าปัญหาดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่ปี 2017 สะท้อนจาก NPL ratio ของ SME ทุกประเภทธุรกิจ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและอยู่ในระดับสูงกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมและทวีความน่ากังวลมากขึ้นในปี 2019 ที่ NPL ratio ของธุรกิจขนาดเล็กบางประเภทพุ่งขึ้นไปถึง 13 เปอร์เซ็นต์  ในขณะที่รายใหญ่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าและยังได้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น ทำให้ NPL ratio ปรับลดลง
 

     แม้ภาครัฐจะมีการคลายมาตรการ Lockdown และมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจโรงแรมและที่พักเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง แต่หากไทยยังไม่สามารถเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ สถานการณ์ของธุรกิจโรงแรมโดยรวมอาจจะยิ่งน่าเป็นห่วงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากภาระค่าใช้จ่ายและภาระหนี้ที่ต้องแบกรับมาเกือบหนึ่งปีเต็ม ทั้งนี้ การใช้จ่ายของคนไทยกันเองไม่สามารถชดเชยผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากรายได้ที่สูญเสียไปจากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติได้หมด เนื่องจากการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยสูงกว่าการใช้จ่ายเฉลี่ยของไทยเที่ยวไทยกันเองถึงกว่า 2 เท่า และมากกว่าการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของคนไทยถึง 13 เท่า
 

สรุป


     จากสถานการณ์ดังกล่าว KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าการช่วยเหลือเยียวยาด้วยมาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับธุรกิจอาจจำเป็นในการประคับประคองธุรกิจและการจ้างงานในระยะสั้น แต่อาจไม่ตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ธุรกิจไทยในหลายอุตสาหกรรมเผชิญมาตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด-19 อีกทั้งมาตรการที่เป็นลักษณะเหมารวมหรือ One size fits all ที่ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างของปัญหาในแต่ละประเภทอุตสาหกรรม คงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดหรือเป็นทางออกที่ยั่งยืน


     สิ่งที่ควรพิจารณาควบคู่ไปด้วยคือ แนวนโยบายที่ชัดเจนในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย การส่งเสริมการยกระดับประสิทธิภาพของภาคการผลิตไทยด้วยการใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะรายเล็กและกลาง ด้วยการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงตลาด เทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการที่ทันสมัย ประกอบกับการปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อลดอุปสรรคต่างๆ และลดอำนาจตลาดของรายใหญ่ สร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรมมากขึ้น อันจะนำไปสู่การยกระดับของอุตสาหกรรมของประเทศโดยรวมที่กระจายอย่างทั่วถึงมากขึ้นกว่าในปัจจุบันนั่นเอง

 
     ที่มา : เรียบเรียงข้อมูลจาก KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร





 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: FINANCE

EXIM BANK แนะผู้ประกอบการ SMEs จัดสัดส่วนการเงิน ปรับธุรกิจผลิตสินค้าตามกระแสโลก เจาะตลาด ‘รักษ์โลก-สูงวัย-ฮาลาล’ รับมือสถาบันการเงินปฎิเสธสินเชื่อ

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร แนะการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs มีหลายสาเหตุ แต่การขอสินเชื่อก็ไม่ใช่เรื่องยาก จะต้องรู้จักเทคนิค 5C+ ที่สถาบันการเงินใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาสินเชื่อ

เปิด 5 Trick วางแผนการเงินเฮง! รับปีใหม่ ขาดทุนเป็นศูนย์ ทำกำไรทะลุเป้า

ในภาวะคลื่นลมเศรษฐกิจแย่เช่นนี้ อยากมาชวนตั้งต้นวางแผนระบบการเงินให้ธุรกิจกันใหม่ และสำหรับใครที่เพิ่งกำลังจะเริ่มต้นธุรกิจ ก็ได้ใช้เป็นแนวทางป้องกันรัดกุม ให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดการเพลี้ยงพล้ำกันได้ มีอะไรกันบ้าง ไปดูกัน

เปิดผลสำรวจ ผู้ประกอบการไทยเสี่ยงกลายเป็น Zombie Firm 35% 

แม้เศรษฐกิจไทยจะมีทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่การแฝงตัวของ Zombie Firm หรือ บริษัทซอมบี้ที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวอย่างไม่คาดคิด