ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน บสย. 4 เดือนแรกปี 2563 (ม.ค.-เม.ย.) ขยายตัวทั้งยอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวนลูกค้า SMEs รายใหม่ และการอนุมัติหนังสือค้ำประกันสินเชื่อ (LG) โดยมียอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน 52,194 ล้านบาท จำนวนลูกค้า SMEs รายใหม่ จำนวน 60,644 ราย และอนุมัติหนังสือค้ำประกันสินเชื่อ จำนวน 75,389 ฉบับ (LG) ในจำนวนนี้เป็น LG จากโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro Entrepreneur ระยะที่ 3 ในสัดส่วน 79 เปอร์เซ็นต์
ผลดำเนินงานตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายนขยายตัวทุกมิติ ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินการมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs 3 มาตรการ ได้แก่ 1.มาตรการ “ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย” สำหรับลูกค้า SMEs ที่ต้องการสินเชื่อใหม่ บสย. ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ 2 ปี และค้ำประกันสินเชื่อวงเงินสูงสุด 30 ล้านบาทต่อราย
2.มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ ระยะเวลา 12 เดือน สำหรับลูกค้าเดิม บสย. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อาทิ ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ที่ถึงกำหนดระยะเวลาค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 กรกฎาคม 2563 และ 3.มาตรการขยายระยะเวลาการค้ำประกันโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS5-7 ซึ่ง บสย. ได้ขยายระยะเวลาค้ำประกันสินเชื่อออกไปอีก 5 ปี และฟรีค่าธรรมเนียม
ทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมและผลักดันให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ด้วยความมั่นใจ โดยเฉพาะการค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 8 (PGS8) เดือน ม.ค.-เม.ย. คิดเป็นยอดอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อ 43,591 ล้านบาท
สำหรับแผนงานและการดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ไตรมาส 2 บสย. ได้เตรียมโครงการความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ 9 วงเงิน 200,000 ล้านบาท 2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Micro Entrepreneur ระยะที่ 4 วงเงิน 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs ร่วมกันฝ่าวิกฤต COVID-19 ให้เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นรวมทั้งการสร้างระบบหมุนเวียนทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี