ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เคทีซีได้มีการปรับกลยุทธ์มุ่งสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของจำนวนบัตรและพอร์ตลูกหนี้ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะทำให้ยอดลูกหนี้รวมมีอัตราเติบโตสูงที่สุดในรอบสองปี นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2560 แล้วยังส่งผลบวกให้ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในช่วง 9 เดือนเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งสำหรับช่วงท้ายของไตรมาสที่ 3 ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้ยังมีคุณภาพดีต่อเนื่อง สำหรับไตรมาส 3 บริษัทฯ มีกำไร 1,292 ล้านบาท ปรับตัวลดลงในอัตรา 7 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการ ตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของพอร์ต อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดหาบัตรใหม่ รวมถึงในการจัดโปรโมชั่นทางการตลาดเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตร เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายรวมของไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นที่ 10 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่รายได้รวมเติบโต 4 เปอร์เซ็นต์”
ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 เคทีซีมีกำไรสุทธิ 4,205 ล้านบาท พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 79,618 ล้านบาท (ขยายตัว 9เปอร์เซ็นต์) ฐานสมาชิกรวม 3.43 ล้านบัญชี (เติบโต 6เปอร์เซ็นต์) แบ่งเป็นบัตรเครดิต 2,460,595 บัตร (ขยายตัว 7เปอร์เซ็นต์)พอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 51,137 ล้านบาท (ขยายตัว 10เปอร์เซ็นต์) อัตราเติบโตของปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 9 เดือน อยู่ที่ 10.4 เปอร์เซ็นต์ NPL รวม ลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 1.07 เปอร์เซ็นต์ NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 0.96 เปอร์เซ็นต์ สินเชื่อบุคคล 973,356 บัญชี (ขยายตัว 5เปอร์เซ็นต์) ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 28,219 ล้านบาท (เติบโต 9 เปอร์เซ็นต์)NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.83 เปอร์เซ็นต์
ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เคทีซีมีรายได้รวม 16,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) เติบโต 7 เปอร์เซ็นต์ รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวเท่ากับ 4เปอร์เซ็นต์ และหนี้สูญได้รับคืนเติบโตที่ 2เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) เท่ากับ 34 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจาก 34.8 เปอร์เซ็นต์ ณ ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับค่าใช้จ่ายการบริหารงานอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนสมาชิกบัตรใหม่มากขึ้น จนทำให้พอร์ตลูกหนี้บัตรขยายตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้จัดโปรแกรมการส่งเสริมการตลาดเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าใช้จ่ายในการบริหารงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วยที่ 5เปอร์เซ็นต์ และ 4 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ในขณะที่ค่าธรรมเนียมจ่ายมีมูลค่าใกล้เคียงเดิม อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังสามารถควบคุมมูลค่าต้นทุนการเงินอยู่ในระดับเดิมได้
ระเฑียรกล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจ “พิโกไฟแนนซ์” (สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ) ธุรกิจ “นาโนไฟแนนซ์” (สินเชื่อรายย่อยผู้ประกอบอาชีพ) และธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน นั้น ในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน 2562 ที่ผ่านมา เคทีซีได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจทั้ง 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบระบบการให้สินเชื่อ ก่อนจะมีการปล่อยสินเชื่อจริงในวงกว้าง โดยคาดว่าทั้ง 3 ธุรกิจใหม่นี้ จะสามารถเริ่มรับรู้กำไรได้ประมาณ 18-24 เดือน นับตั้งแต่วันที่ดำเนินธุรกิจจริง”
“ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ ได้จัดสรรงบประมาณในการเพิ่มจำนวนฐานบัตรใหม่ในธุรกิจหลักต่อเนื่อง ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล รวมทั้งเพิ่มงบการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของลูกค้า ด้วยจุดมุ่งหมายให้พอร์ตลูกหนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีคุณภาพ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อกำไรรวมบ้าง นอกจากนี้บริษัทฯ จะติดตามสถานการณ์และเตรียมพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ด้านต่างๆ ให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจทุกภาคส่วนให้เป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งมีผลการดำเนินงานทั้งปี 2562 ใกล้เคียงกับประมาณการที่ได้เปิดเผยไว้แล้ว”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี