ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จัดสัมมนา “พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ไทยก้าวสู่สากล” เมื่อเร็วๆ นี้ โดยพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ธุรกิจแฟรนไชส์ มีแนวโน้มเติบโตสูง เพราะเป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการเริ่มทำธุรกิจ อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นและสร้างแบรนด์ มีความหลากหลายของประเภทสินค้าและบริการ มีระบบบริหารจัดการสำเร็จรูปพร้อมเปิดดำเนินการได้รวดเร็ว จึงทำให้ตลาดแฟรนไชส์ไทยขยายตัวดี โดยมูลค่าตลาดแฟรนไชส์ในประเทศไทยสูงถึงกว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้ปัจจุบันจำนวนแบรนด์แฟรนไชส์ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 584 แบรนด์ เพิ่มขึ้นจาก 48 แบรนด์ ในปี 2548 และมีจำนวนสาขามากกว่า 100,000 แห่งทั่วประเทศ โดยแฟรนไชส์แบรนด์ไทยได้รับการยอมรับว่ามีศักยภาพเทียบเท่าระดับสากล มีคุณภาพและบริการที่ดี ได้รับความสนใจจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก จึงมีแฟรนไชส์ไทยหลากหลายแบรนด์ขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น
ปัจจุบันแฟรนไชส์แบรนด์ไทยที่สามารถขยายไปต่างประเทศมีจำนวน 49 แบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริการอาหารและเครื่องดื่ม รองลงมาเป็นการศึกษาและนวดสปา โดย 80% ของแฟรนไชส์ไทยขยายเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เป็นผลจากความได้เปรียบของไทยที่มีความคล้ายคลึงทางสังคมและวัฒนธรรม ทำให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาธุรกิจบริการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในแถบนี้ได้ดี
CLMV เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชากรมีรายได้ต่อคนต่อปีและกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในช่วง 5 ปีนับจากนี้เศรษฐกิจ CLMV จะขยายตัวเฉลี่ยกว่าปีละ 6% สูงกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเกือบเท่าตัว กำลังซื้อของประชากรใน CLMV จะเพิ่มขึ้นอีก 30% ในปี 2566 ขณะที่การผลิตสินค้าและบริการภายในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยจะประสบความสำเร็จในตลาด CLMV ก็ต่อเมื่อสามารถตอบสนองความต้องการใหม่จากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ทั้งที่เป็นประชาชน นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ซึ่งแฟรนไชส์ไทยมีแต้มต่ออยู่มากในตลาด CLMV ทั้งในด้านชื่อเสียงแบรนด์ไทย ระดับราคาของสินค้าและบริการ ตลอดจนวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน โดยแบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักดี เนื่องจากไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีนักท่องเที่ยวจาก CLMV เดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยราว 3-4 ล้านคน รวมทั้งชาวลาวและกัมพูชายังสามารถรับชมสื่อโทรทัศน์ไทย ทำให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จัก นอกจากนี้ ราคาสินค้าและบริการของแฟรนไชส์ไทยเหมาะสมกับความสามารถจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค CLMV ขณะที่วัฒนธรรมประเทศ CLMV และไทยมีความคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านอาหาร
จากโอกาสทางธุรกิจของแฟรนไชส์ไทยที่ยังขยายตัวได้อีกมากในตลาดต่างประเทศ EXIM BANK จึงพัฒนาบริการ “สินเชื่อเพื่อสนับสนุนผู้ซื้อแฟรนไชส์ไทย/เชนไทย (Loan for Thai Franchise/Thai Chain Buyers)” เป็นวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่มีระยะเวลากู้ยืมไม่เกินระยะเวลาของสัญญาซื้อขายแฟรนไชส์/เชน อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำสกุลดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ LIBOR +3.50 % ต่อปี หรือสกุลบาทเท่ากับ Prime Rate (ปัจจุบันอยู่ที่ 6.125%) หลักประกันพิจารณาตามความเหมาะสม มีเป้าหมายวงเงินอนุมัติรวม 800 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อแฟรนไชส์ไทยไปเปิดให้บริการในต่างประเทศ หรือว่าจ้างเชนไทยในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ
พิศิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า เงินทุนสนับสนุนและข้อมูลความรู้จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยขยายตลาดแฟรนไชส์ไทยในต่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จ ผู้ประกอบการไทยต้องศึกษาโอกาสและกฎระเบียบที่แตกต่างกันไปในแต่ละตลาด ดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ ตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ดูแลจัดการแฟรนไชส์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ อาทิ บริหารซัพพลายเชนของตนเองให้แข็งแกร่ง บริหารจัดการต้นทุนด้านวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ การแปรรูปสินค้า และโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์ (Franchisee) ที่น่าเชื่อถือและมีความตั้งใจจริงในการทำธุรกิจ และช่วยส่งเสริมการตลาดเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของผู้ซื้อแฟรนไชส์
“การเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์ใน CLMV เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยอาศัยความได้เปรียบจากความรู้จักคุ้นเคยสินค้าแบรนด์ไทยจากสื่อต่างๆ ที่ผู้บริโภคใน CLMV ติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ และใช้ความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งบริหารจัดการธุรกิจอย่างใกล้ชิด สร้างชื่อเสียงของสินค้าและบริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสากลในราคาที่ผู้ซื้อจับต้องได้ โดยสำนักงานผู้แทน EXIM BANK ใน CLM (กัมพูชา สปป. ลาว และเมียนมา) ร่วมกับภาครัฐและเอกชน ภายใต้ทีมไทยแลนด์ พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายธุรกิจแฟรนไชส์ใน CLMV ได้มากขึ้น” พิศิษฐ์กล่าว
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี