ศิริรัฐ โชติเวชการ กรรมการผู้จัดการบริษัท Network Advisory Team (NAT) สำนักบัญชีคุณภาพภายใต้มาตรฐานสากล ISO 9001 ได้ให้ความเห็นไว้ว่า กิจการของต่างชาติที่เติบโตได้อย่างมั่นคงยั่งยืนนั้น เพราะให้ความสนใจในบัญชีบริหาร ต่างกับธุรกิจของคนไทยส่วนใหญ่ ที่มองข้ามการทำบัญชีในเชิงบริหารที่ต้องปิดงบฯอย่างน้อยเดือนละครั้ง แต่มักจะทำบัญชีปีละครั้งเพียงเพื่อให้มีงบการเงินยื่นต่อกรมสรรพากรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น บางครั้งข้อมูลก็ไม่ครบถ้วนตามความเป็นจริง จึงไม่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์เพื่อตัดสินใจทางธุรกิจได้เลย
“จากการที่ได้ทำงานในองค์กรใหญ่ข้ามชาติ เขามีระบบบัญชีที่ดี ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างมั่นคง ทำให้เราคิดว่าหากธุรกิจไทย รู้จักทำบัญชีเชิงบริหารก็จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้เช่นกัน
คนต่างชาติคิดต่างกับคนไทยมาก คือคนไทยจะเน้นเรื่องการทำตามกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้สนใจดูบัญชีเพื่อใช้ประเมินธุรกิจที่ทำ แล้วส่งบัญชีให้ทางราชการ ซึ่งเป็นตัวเลขที่อาจจะไม่ครบถ้วนเพราะมีความคิดแบบเก่า ไม่อยากเสียภาษีมาก
ทั้งที่จริงแล้วนั่นทำให้เจ้าของกิจการเอง ขาดข้อมูลที่ครบถ้วน หลงทางในการบริหารกิจการแต่ระบบสากลจะทำแบบตรงๆ มีการวางแผนประหยัดภาษีที่ดี และเข้าระบบที่ถูกต้อง ซึ่งในระยะยาวแล้วจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และไม่ต้องระแวงความผิดเรื่องภาษี” ศิริรัฐ กล่าว
นอกจากนี้การเปิดตลาดเสรีอาเซียนที่กำลังจะมาถึงในปี 2558 นี้ ผู้ประกอบการ SME ไทยต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการค้า ที่จะเกิดทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ เพราะคนไทยยังไม่รู้ว่าเปิดตลาดเสรีอาเซียนแล้วเขาจะได้อะไร รู้แต่ด้านลบ ซึ่งความเป็นจริงแล้วด้านบวกก็มี
ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องจัดระบบให้ดี เพราะหากใครไม่พร้อมอาจต้องเผชิญกับพายุเศรษฐกิจในการแข่งขัน ส่วนคนที่แข็งแรงดีแล้วก็ต้องมีระบบควบคุมทางบัญชีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล
ทั้งนี้ การเปิดตลาดเสรีอาเซียนจะทำให้มีบริษัทต่างชาติเข้ามาเยอะ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดี หากต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาร่วมทุน เพราะเป็นวิธีการที่ง่ายกว่าการเริ่มต้น แต่การร่วมทุนจำเป็นต้องมีการตรวจสอบบัญชีว่าดีจริงหรือไม่ฉะนั้นระบบบัญชีของธุรกิจ จึงต้องโปร่งใสและเป็นระบบสากล
“ธุรกิจของคนไทยต้องพัฒนาสู่สากล เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการและนักบริหารต้องไม่แค่ตั้งรับแต่ต้องทำงานเชิงรุก เพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งการมีระบบบัญชีที่ดีรองรับ จะทำให้มีความคล่องตัว สร้างความน่าเชื่อถือ และเปิดโอกาสใหม่ ในการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติได้”
การทำบัญชีก็เหมือน ตรวจสอบธุรกิจของตัวเองตลอดเวลา ว่ามีสถานะอย่างไร ในอดีตนักธุรกิจบ้านเรากู้เงินง่าย เอาเงินกู้มาใช้ อย่างในยุคต้มยำกุ้ง พอแบงก์หยุดปล่อยเงินกู้ ทำให้กิจการล้มกันมาก นี่คือ ตัวอย่าง เพราะเราไม่รู้เลยว่าที่เราทำอยู่มันเป็นกำไรหรือเป็นเงินกู้ การทำบัญชี ก็จะทำให้รู้ว่า เงินที่เอาไปนั้น ได้สร้างความเจริญให้องค์กรหรือไม่
“งบกำไรขาดทุน ต้องมีการจัดประเภทให้ถูกต้องว่า ส่วนใดเป็นรายได้ ส่วนใดเป็นต้นทุนขาย ส่วนใดเป็นเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากนั้นก็คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ออกมา ส่วนแรกที่ดูคือต้นทุนขาย ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขนี้ที่อยู่ในใจผู้ประกอบการแล้ว มันมากหรือน้อยกว่ากัน
แต่ถ้าพบว่าสูงว่าปกติ ก็ต้องไปเจาะที่จุดรั่วไหลของสต็อก หรือมีของหาย หรือซื้อของในราคาที่สูงกว่าปกติ หรือถ้าเป็นธุรกิจผลิตสินค้า ก็ต้องดูอัตราส่วนของค่าใช้จ่ายค่าแรงงาน และค่าใช้จ่าย ว่าจุดใดที่สูงเกินกว่า อัตราส่วนที่กำหนดไว้ หรือถ้าเป็นระบบสากล เขาให้ดูว่า ถ้าเรามีพนักงาน 1 คน ต้องมียอดขายต่อปี 1 ล้านบาท ถ้าทำไม่ได้ก็แสดงว่า ประสิทธิภาพในการทำงานยังต่ำไป เป็นต้น”
NAT คือสำนักงานบัญชี คุณภาพ ที่ได้รับรองมาตรฐานสากล ISO 9001 และเป็นสำนักบัญชีแห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองคุณภาพ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ NAT มีประสบการณ์กว่า 17 ปีแล้ว ในการให้บริการแก่ธุรกิจต่างๆ ทั้งบริษัทของคนไทย และ บริษัท ต่างชาติ รวมทั้งธุรกิจ เอ็สเอ็มอี มากกว่า 200 บริษัท โดยเน้นที่บัญชีบริหาร เพื่อสร้างการเติบให้กับธุรกิจ |