Text: Neung Cch.
ต้นปี 2025 วงการอาหารไทยเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ไม่ใช่จากภัยธรรมชาติ แต่เป็น “แผ่นดินไหว” จากกลยุทธ์สงครามราคาของแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ที่แข่งขันชิงส่วนแบ่งตลาดแมส KFC ประเทศไทยเปิดตัว “ข้าวมันไก่ ร้านลุงเคเอฟซี” ราคาเริ่มต้น 59 บาท, ไมเนอร์ลงสนามด้วยสเต็ก 129 บาท, ตำมั่วปล่อยชุดส้มตำ 79 บาท, และสุกี้ตี๋น้อยบุกตลาดด้วยชุดผักสุกี้ 3 รสชาติ ราคา 89-139 บาท ขายในแม็คโครและโลตัส การเคลื่อนไหวนี้ชี้ชัดถึงการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นในยุคเศรษฐกิจไม่แน่นอน แล้วผู้ประกอบการรายย่อย (SME) จะเรียนรู้และรับมืออย่างไรจากปรากฏการณ์นี้?
ตลาดแมส: เค้กก้อนใหม่ของแบรนด์ใหญ่
จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าในปี 2568 คาดว่า มูลค่าตลาดร้านอาหาร (รวมร้านอาหารประเภทร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด และร้านอาหารข้างทางหรือ Street Food ที่มีหน้าร้าน) จะมีมูลค่ารวมประมาณ 572,000 ล้านบาท เติบโต 4.8% จากปี 2567
อย่างไรก็ดีธุรกิจอาหารก็ยังมีความเสี่ยง เนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจบริการ โดย “ความแปลกใหม่+ประสบการณ์+สุขภาพ+ราคาสมเหตุสมผล” ได้กลายมาเป็นมาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคในปัจจุบัน และเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่ไม่ได้มีรูปแบบตายตัว ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำและเปลี่ยนแปลงตามกระแสอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับรูปแบบธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
ช่วงนี้จึงได้เห็นแบรนด์อาหารชั้นนำกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มองหาความคุ้มค่า อาทิ KFC ผสมผสานไก่ทอดอันเป็นจุดแข็งเข้ากับข้าวมันไก่รสชาติไทยแท้ในราคา 59 บาท เพื่อดึงดูดผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน ที่ได้ชิมลางเมนูนี้ไปช่วงต้นปี ตำมั่วใช้ส้มตำ 79 บาท ตอบโจทย์คนรักอาหารอีสาน ส่วนสุกี้ตี๋น้อยนำเสนอชุดผักสุกี้หลากรสชาติ 89-139 บาท เน้นกลุ่มสุขภาพที่ต้องการตัวเลือกในราคาย่อมเยา ขณะที่ไมเนอร์ส่งสเต็ก 129 บาท ร่วมแข่งขันในเซกเมนต์สเต็ก
แนวโน้มนี้สะท้อนว่า การตั้งราคาต่ำไม่ใช่แค่กลยุทธ์เสริม แต่กลายเป็นความจำเป็นเพื่อครองใจผู้บริโภคในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
SME จะรับมืออย่างไรในสงครามราคา
เมื่อยักษ์ใหญ่หันมาเล่นราคาต่ำ SME ไม่ควรแข่งด้วยการลดราคาเพียงอย่างเดียว แต่ควรมุ่งสร้างจุดเด่นที่แตกต่าง เช่น ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นพัฒนาเมนูเฉพาะตัวที่ฟาสต์ฟู้ดทั่วไปเลียนแบบยาก เช่น ร้าน “ครัวลุงทิม” ในเชียงใหม่ ที่ประสบความสำเร็จด้วยข้าวซอยสูตรดั้งเดิมในราคา 65 บาท หรือใช้ช่องทางออนไลน์อย่าง TikTok และ LINE OA เพื่อเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ลดการพึ่งพาค่าธรรมเนียมเดลิเวอรี
อีกกลยุทธ์คือการ “จับมือ” กับเทรนด์นี้ เช่น ร่วมเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรีอย่าง GrabFood หรือ LINE MAN ในโปรโมชันพิเศษช่วงเปิดตัวเมนูใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มการมองเห็น ตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ร้านท้องถิ่นในสหรัฐฯ ที่ร่วมมือกับ DoorDash ลดราคาค่าส่ง 30% สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 25% ในไตรมาสเดียว
ปรับตัวให้ทันเพื่ออยู่รอด
การบุกตลาดแมสของแบรนด์ใหญ่ครั้งนี้ไม่เพียงสร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการอาหารไทย นับเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับ SME ให้รีบปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเอกลักษณ์หรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และลงมือปรับตัวก่อนที่ “แผ่นดินไหว” จะทิ้งร่องรอยที่แก้ไขไม่ได้
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี