Text: Neung Cch.
Photo : สุนันท์ ล้อสมทรัพย์
ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขัน มะปราง-สมสนิท วรรณประภา คือแบบอย่างของผู้ประกอบการที่พลิกอุปสรรคให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อน จากเด็กสาวที่เคยมุ่งมั่นจะเป็นแพทย์ ต้องเผชิญการบูลลี่ในต่างแดนที่ภาษาอังกฤษยังสื่อสารได้ไม่คล่องจนต้องฝึกฝนตัวเองด้วยการท่องพจนานุกรมเพื่อเอาตัวรอด ในชีวิตต่างแดนยังทำให้เธอค้นพบ passion สิ่งที่ตัวเองชื่นชอบจริงๆ จนก้าวสู่การเป็นนักคิดสูตรขนมหวานและเครื่องดื่มระดับโลก ที่เป็นผู้ก่อตั้ง ซินโนว่า (SYNOVA) ธุรกิจ B2B ที่สร้างสรรค์เมนูให้ผู้ประกอบการไทยและต่างชาติมากว่า 20 ปี ซินโนว่าได้รับการยอมรับจากเชนร้านอาหารชั้นนำในประเทศไทย ร่วมงานกับทีมหลากเชื้อชาติ และบริหารลูกน้องนับร้อยชีวิต —ทั้งหมดนี้จากหญิงแกร่งที่หลายคนไม่รู้ว่าเป็น Introvert
เรื่องราวของเธอไม่เพียงเป็นแรงบันดาลใจ แต่ยังเป็นบทเรียนทรงพลังสำหรับนักธุรกิจที่มุ่งเติบโตท่ามกลางวิกฤต เพราะสำหรับมะปราง กรอบจำกัดไม่ใช่กำแพง แต่เป็นเงื่อนไขที่ท้าทายให้ก้าวข้าม
จากคณะแพทย์สู่ครัวขนมหวาน จุดเปลี่ยนที่ไม่คาดฝัน
เพราะเติบโตมาจากครอบครัวที่เต็มไปด้วยบุคลากรทางแพทย์ ทำให้ มะปราง-สมสนิท วรรณประภา เริ่มต้นชีวิตด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน คือการเรียนเป็นหมอ เธอพร้อมเดินตามเส้นทางนั้น แต่เหตุการณ์ตึก World Trade Center ถล่มในปี 2001 ทำให้แผนชีวิตต้องหยุดชะงัก “ระหว่างรอวีซ่า ตอนนั้นเลยตัดสินใจลองเรียนเชฟที่ William Angliss Institute ในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย คิดว่าแค่ลองเล่นๆ 6 เดือน แต่กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนชีวิต” เธอเล่าด้วยรอยยิ้ม
จากชีวิตที่เคยจำเจอยู่กับคณะแพทย์ พอได้ลองเข้าคลาสทำอาหารเธอพบความสุขในครัวที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ “ตอนเรียนแพทย์ ได้แต่มองนาฬิการอให้ถึงเวลาพัก ในขณะที่เรียนทำขนมกลับพบว่ามีความสุขแม้แต่ช่วงสุดสัปดาห์กลับใช้เวลาอ่านตำราขนม อบเค้กในหอพักโดยไม่เคยเบื่อ” ความหลงใหลนี้ผลักดันให้เธอสำเร็จการศึกษาด้านเชฟขนมหวาน และต่อยอดด้วย Food Science เพื่อเจาะลึกศาสตร์แห่งรสชาติอย่างแท้จริง
บทเรียนธุรกิจเริ่มจากศูนย์ ร้านอาหารไทยในเมลเบิร์น
หลังเรียนจบ มะปรางตัดสินใจเปิดร้านอาหารไทยในเมลเบิร์นด้วยวัยเพียง 20 ต้นๆ โดยไม่มีพื้นฐานธุรกิจ “มันงงมาก เป็นเด็กจบใหม่ ทำคนเดียว” เธอยอมรับว่าร้านแรกสอนให้รู้จักการจัดการคน ระบบ และความผิดพลาด “เราขาดความสุขระหว่างทาง เน้นเป้าหมายจนลืม enjoy” แต่ 6 ปีที่เมลเบิร์นกลายเป็นรากฐานสำคัญของความอึดและถึก ที่ทำให้เธอพร้อมเผชิญทุกความท้าทาย
โอกาสในเมืองไทย จากที่ปรึกษาสู่เจ้าของซินโนว่า
เมื่อกลับไทยในปี 2005 มะปราง-สมสนิท วรรณประภา ได้ร่วมงานกับ Coffee World แบรนด์คาเฟ่ชั้นนำในยุคนั้น รับหน้าที่ดูแลเมนูและระบบปฏิบัติการ ก่อนผันตัวเป็นที่ปรึกษาอิสระภายใต้ เอฟเอ โกลบอล เซอร์วิสเซส “ตอนนั้นเราคิดสูตรให้ลูกค้าทั้งในไทยและต่างชาติ แต่พบว่าพวกเขาขาดโรงงานผลิต ทำให้เรามองเห็นช่องว่างนี้” เธอเล่าถึงที่มาของการก่อตั้ง ซินโนว่า ในปี 2010 ธุรกิจ B2B ที่ไม่เพียงพัฒนาสูตร แต่ยังเป็น Total Solution ครบวงจร ตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการของแบรนด์ ออกแบบสูตร ผลิต ไปจนถึงฝึกอบรมพนักงาน
ปัจจุบัน ซินโนว่าสนับสนุนทั้งเชนร้านอาหารขนาดใหญ่และสำหรับ SME ก็เมนูที่ตอบโจทย์ โดยสามารถเข้ามาดูในแอปกดที่รูปเมนูก็จะมีวัตถุดิบ และสูตรทำอาหารให้พร้อมให้พร้อมที่เข้ากับเทรนด์ตลาด รวมถึงเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น ความใส่ใจสุขภาพที่ Gen Z ชื่นชอบ หรือความหลากหลายที่ดึงดูด Gen Y
ซินโนว่า เพื่อนคู่คิดของผู้ประกอบการ
ซินโนว่าไม่ใช่แค่โรงงานผลิต แต่เป็น Strategic Partner ที่ช่วย SME และเชนใหญ่เติบโต “เราไม่อยากสร้างแบรนด์แข่งกับลูกค้า แต่เป็นพาร์ทเนอร์ที่ทำให้เขาไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น” มะปรางเน้นย้ำ บริการของซินโนว่าครอบคลุมตั้งแต่วัตถุดิบพร้อมใช้ สูตรสำเร็จรูป ไปจนถึงแอปที่ช่วยเจ้าของร้านเลือกเมนูและวัตถุดิบได้ง่ายๆ “เหมือนคู่มือพร้อมใช้ ลูกค้าแค่กดเลือกเมนู จะมีรายละเอียดวัตถุดิบที่ต้องใช้เด้งมาเลย ช่วยประหยัดเวลาให้เจ้าของสามารถไปโฟกัสเรื่องอื่นได้”
บูลลี่คือพลัง
วันนี้หากย้อนกลับไปในวันที่เธอถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง เธอบอกว่าจริงๆ นั่นเหมือนเป็นโอกาสให้เธอได้เริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะการไม่ยอมแพ้ไม่เพียงทำให้เธอแข็งแกร่งแต่ยังทำให้เธอค้นพบความสามารถพิเศษที่กลายเป็นจุดแข็งของเธอคือ ความสามารถในการ “ชิมอาหารหรือขนมครั้งเดียวแล้วระบุสัดส่วนของส่วนผสมได้ทันที” เธอเผยว่าทักษะนี้ถูกหล่อหลอมจากวัยเด็กสมัยเรียนชั้น ป.6 ที่อเมริกา ที่ทั้งถูกบูลลี่ ถูกกลั่นแกล้งทุกวัน ตั้งแต่เอาหมากฝรั่งติดผมไปจนถึงระเบิดล็อกเกอร์ใส่” เธอเล่าถึงช่วงเวลาอันท้าทาย “ตอนนั้นภาษาอังกฤษเราก็ไม่คล่องสื่อสารก็ไม่ค่อยได้ วิธีเอาตัวรอดคือฝึกท่องพจนานุกรมจนคล่อง พอเริ่มสื่อสารได้ ทำให้ผลการเรียนดีขึ้นไปด้วย และก็ได้ไปอยู่กับกลุ่มเนิร์ด และการบูลลี่ก็ค่อยๆ หายไป”
นิสัยการท่องจำในตอนนั้นกลายเป็นรากฐานสำคัญในงานพัฒนาสูตรเพียงแต่ความรู้สึกต่างกัน “หนังสือแพทย์ที่หนาหนักต้องใช้ความพยายามในการฝึกท่องจำที่เป็นการฝืน แต่การฝึกสูตรอาหารกลับเป็นการฝึกท่องจำที่ไม่ฝืนรู้สึกสนุก มันเหมือนมีคลังข้อมูลรสชาติอยู่ในสมอง” เธออธิบาย พร้อมเปรียบเทียบว่า นักวิจัยและพัฒนา (R&D) รุ่นใหม่มักใช้เวลา 6-10 รอบในการปรับสูตรให้ลงตัว แต่เธอทำได้ใน 1-2 รอบ เพราะเธอจะมีสูตรในสมอง “เช่น ถ้าทำไอศกรีม น้ำตาล 16% จะหวานเกินไป แต่ถ้าปรับเหลือ 10-12% จะได้รสชาติที่สมดุลและถูกปาก” เธอกล่าวอย่างมั่นใจ
บทเรียน 20 ปี ความกลัวคือจุดเริ่มต้น
กว่า 20 ปีในวงการ มะปรางเผชิญทั้งวิกฤตและความสำเร็จ “เริ่มจากงานยากๆ ได้ไปทำงานในต่างประเทศอาทิ ซูดาน อินเดีย บังกลาเทศ ต้องปรับสูตรให้เข้ากับวัตถุดิบท้องถิ่นภายใต้เวลาจำกัด” เธอยอมรับว่าความกลัวและความไม่รู้เป็นเรื่องปกติ “SME มักตีตราตัวเองเมื่อพลาด แต่ถ้าไม่พลาดก็ไม่เรียนรู้ ฉันเชื่อว่าต้องลอง ผิดแล้วแก้ใหม่”
กุญแจสู่ความสำเร็จ? “เรียนรู้จากคนรอบข้าง ฉันไม่มีพื้นธุรกิจ แต่เป็นนักเรียนตลอดชีวิต” เธอกล่าว “มนุษย์มีสองอย่าง ความไม่รู้และความกลัว ถ้ายอมรับและเผชิญหน้า ทำสิ่งที่กลัวบ่อยๆ มันจะกลายเป็นโอกาส”
อนาคตร้านขนมหวานและเครื่องดื่มกลางวิกฤตต้นทุนสูงขึ้น
ท่ามกลางวิกฤตต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งสูง เช่น กาแฟ โกโก้ เธอแนะนำว่า “ไม่อยากให้ขึ้นราคา เพราะจะทำให้ลำบาก ก็เข้าใจสถานการณ์ว่ามันทำยาก แต่อยากให้ลองเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส คิดเมนูใหม่โดยใช้วัตถุดิบใหม่ๆ เช่น Carob แทนโกโก้ Chicory แทนกาแฟ และใส่ Storytelling เพื่อเพิ่มมูลค่า”
เธอยังเล่าถึงความสุขในวงการนี้ว่า “ดีใจมากที่ได้อยู่ในวงการนี้ ถึงแม้จะถูกมองว่าเป็นวงการสายร้านแบ๊ว ร้ายแบ๊วอย่างไร เพราะเราคือน้ำตาลนั่นแหละ แต่เราให้ความสุขระหว่างทางกับผู้คน เทรนด์สุขภาพมาเรื่อยๆ เราก็ร้ายน้อยลงนิดหนึ่ง แต่เราคือธุรกิจของความสุขระหว่างทางที่ผู้บริโภคมีเรานิดหน่อย ชีวิตก็มีความสุขขึ้น”
นอกจากนี้มะปรางมองว่าไทยยังได้รับการชื่นชมจากเอเชียในเรื่องผู้นำนวัตกรรมเครื่องดื่ม “ดีใจมากที่มีส่วนร่วมกับธุรกิจนี้ เพราะเมื่อก่อนตอนเริ่มต้น ประเทศไทยไม่เคยมีจุดยืนแบบนี้ ไม่เคยมีเพื่อนบ้านในเอเชียต้องมาศึกษางานที่เรา ทุกคนไปดูงานญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน แต่ทุกวันนี้ พูดถึงไทยแลนด์ให้ลูกค้าต่างชาติ ทุกคนอยากมาดูงานที่นี่และแวะเยี่ยมเรา ตอนนี้ทั่วเอเชียมองว่าไทยเป็นหนึ่งในผู้นำเทรนด์เครื่องดื่มและขนมหวาน ซึ่งเราดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพลังนวัตกรรมที่พาประเทศไปข้างหน้า”
อย่ากลัวความล้มเหลว บทเรียนจากครัวสู่ความสำเร็จในธุรกิจ
“ถ้าอยากทำธุรกิจให้สำเร็จ อย่ากลัวที่จะล้ม และเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เขารู้จักตัวเอง” มะปราง-สมสนิท วรรณประภา กล่าวถึงหลักคิดที่พาเธอฝ่าฟันความท้าทาย “ในการคิดสูตร บางครั้งต้องลองถึง 50 รอบ ความพ่ายแพ้เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของ DNA ในงาน R&D ไม่มีสูตรไหนสมบูรณ์ตั้งแต่รอบแรก เว้นแต่คุณจะเชี่ยวชาญถึงขีดสุด”
เธอเล่าต่อว่า “คนที่ทำงานวิจัยและพัฒนาสูตร (R&D) หลายคนออกจากวงการนี้ เพราะทนไม่ได้กับกรอบจำกัด—เรื่องราคา เวลา หรือข้อห้ามจากฝ่ายปฏิบัติการ ถ้ามองว่ามันคือ ‘ขีดจำกัด’ คุณจะรู้สึกทุกข์และอาจยอมแพ้ แต่ถ้ามองว่าเป็น ‘เงื่อนไข’ ที่ฝึกให้เราเก่งขึ้น มันจะกลายเป็นโอกาสในการเติบโต”
แม้แต่อุปสรรคที่สำคัญอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจของเธอคือการ เป็น Introvert “คนที่เป็น Introvert ไม่ถนัดเข้าสังคมเวลาเจอคนเยอะมักจะอยู่ในมุมเงียบ ดังนั้นเราฝึกตัวเองให้พร้อมสำหรับการสื่อสาร ฝึกทำบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาที่ต้องก้าวออกมา เหมือนมีปุ่มสลับโหมดเป็น Extrovert ชั่วคราว’ เพื่อขับเคลื่อนงานให้สำเร็จ” เธอกล่าว
จากเส้นทางแพทย์สู่นักคิดสูตร ความสุขที่พอดีมากกว่าความพอใจ
เมื่อถามว่ารู้สึกพอใจมากน้อยแค่ไหนที่เปลี่ยนจากเรียนหมอมาเป็นนักคิดสูตรอาหาร มะปราง-สมสนิท วรรณประภา ตอบว่า “ไม่เชิงว่าพอใจ ฉันใช้คำว่า ‘พอดี’ และพบความสุขระหว่างทางมากขึ้น” เธอเล่าถึงวัยเด็กที่เติบโตท่ามกลางการบูลลี่ ซึ่งจุดประกายให้เธอมุ่งพิสูจน์ตัวเอง “ฉันกลัวการถูกแกล้ง กลัวไม่ได้รับการยอมรับเหมือนมนุษย์ทั่วไป เลยฝึกฝนจนเก่ง เพื่อให้ได้การยอมรับ—บางทีรางวัลของฉันอาจเป็นสิ่งนั้น”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี