ศิลินลักษ์ ตุลยานันต์ CEO ที่เคยเกือบถูกไล่ออกจากบริษัทของตัวเอง

TEXT : Nittaya Su.

PHOTO : Sunun Lorsomsub


     เป็นคุณจะทำยังไง…ถ้าชีวิตที่ผ่านมา รู้จักแต่คำว่า “สำเร็จ” และต้องทำให้ได้ ทุกอย่างถูกขับเคลื่อนด้วย Goal มาตลอด คำว่า “ล้มเหลว” ไม่เคยมีอยู่ในสารบบของชีวิต แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งกลับมีคนมาบอกว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้น ผิด! และไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องการ เป็นคุณจะทำยังไง?

     เรื่องราวนี้ เคยเกิดขึ้นกับ เฟิร์น - ศิลินลักษ์ ตุลยานันต์ CEO บริษัท ฟู้ด อีควิปเม้นท์ จำกัด ผู้นำเข้าและผลิตเครื่องจักรแปรรูปอาหาร องค์กรเล็กๆ มีพนักงานอยู่ราว 40 คน แต่กลับเป็นฟันเฟืองสำคัญในธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารของไทยมากมาย ตั้งแต่ระดับยักษ์ใหญ่ของประเทศ ห้างโมเดิร์นเทรด จนถึงร้านอาหารเล็กๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยเกือบถูกไล่ออกจากบริษัทของตัวเอง จากความมุ่งมั่น และจริงจังในการทำงานที่มีมากเกินไปจนล้น เป็นยังไง ไปติดตามกัน.

Q : ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย คุณเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวได้ยังไง และอะไรทำให้ตัดสินใจเข้ามาทำ

     เฟิร์นและน้องสาวเข้ามาช่วยกิจการของที่บ้านเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว เป็นช่วงรอยต่อว่าจะขยายธุรกิจเพิ่มขึ้นหรือพอแค่นี้ ตอนนั้นเรายังเป็น SME ห้องแถวเล็กๆ อยู่เลย คุณพ่อก็เรียกมาคุยและถามว่า อยากจะทำกันจริงจังต่อไปไหม ถ้าไม่ทำ ก็ไม่เป็นไร ก็ทำเท่าเดิม ป๊าก็น่าจะพอมีเงินกินก๋วยเตี๋ยวไปจนแก่ ชีวิตคงไม่ได้ลำบากอะไร ก็เลยคุยกันกับน้องสาวสองคนว่า อยากจะทำต่อ เพราะเราเองก็เห็นธุรกิจนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เป็นธุรกิจที่เลี้ยงเรามาจนโต เลยอยากเข้ามาทำให้ดีขึ้น ก็เลยตัดสินใจไปบอกป๊าว่า ทำ ป๊าเลยเริ่มหาที่ทางใหม่สร้างโรงงานใหม่ จนมาเป็นที่นี่ทุกวันนี้

     จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องกลับมาทำก็ได้ พวกท่านไม่ได้บังคับ และเฟิร์นกับน้อง ก็เป็นผู้หญิง ไม่ได้มีความถนัดด้านเครื่องจักรเลย เฟิร์นเรียนจบตรี บัญชี จุฬาฯ น้องสาวก็จบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่จุฬาฯ เหมือนกัน แถมไปต่อโทที่อังกฤษกันทั้งคู่ แต่เพราะการที่ไม่เคยบังคับลูกเลย ไม่เคยบอกว่าต้องเรียนหนังสือให้เก่ง ต้องเรียนคณะอะไร หรือต้องกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้านนะ เพราะอยากปล่อยให้ลูกมีชีวิตของตัวเอง จึงทำให้เราตัดสินใจกลับมาช่วย

Q : ได้ข่าวว่าช่วงแรก ก่อนจะมาเป็น CEO ทุกวันนี้ คุณเคยเกือบโดนไล่ออกจากบริษัทตัวเอง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย วันนั้นเกิดอะไรขึ้น

     ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราเข้ามาช่วยทำงานใหม่ๆ หลังจากที่ตัดสินใจกันว่าจะกลับมาช่วยธุรกิจครอบครัว ต้องบอกว่าเราในตอนนั้นเป็นคนที่ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองมาก ชอบความท้าทาย ชอบเอาชนะ เป็นคนที่ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วย Goal มาตลอด จะวางเป้าหมายไว้เลยว่าจะทำอะไร และก็มุ่งมั่นทำมันให้สำเร็จ การที่เราเข้ามาช่วย เราก็อยากทำให้ทุกอย่างดีขึ้น โดยลืมคิดไปเลยว่าคนอื่นว่าเขาจะทำแบบเราได้ไหม จะตามเราทันหรือเปล่า จนวันหนึ่งคุณพ่อเรียกเข้าไปคุยและพูดว่า “เฟิร์นเป็นลูกสาวที่ป๊าภูมิใจ ส่งเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา ทำไมวันนี้ทำป๊าผิดหวัง ทุกคนรับเราไม่ได้ ถ้าต้องเลือกระหว่างทุกคนในออฟฟิศกับเฟิร์น ป๊าให้เฟิร์นออก”

     ตอนนั้น คือ น้ำตาร่วงเลย และก็พูดกับคุณพ่อว่า “ป๊า เฟิร์นขอปรับปรุงตัวใหม่” คืนนั้นนอนไม่หลับเลย นั่งคิดกับตัวเองว่าจะเอายังไงดี ก็เลยเปลี่ยนจากเคยบอกตัวเองว่า ฉันเป็นลูกเถ้าแก่ มาเป็นฉันก็เป็นพนักงานคนหนึ่ง เอาหัวโขนถอดออกให้หมด การเปลี่ยนแปลงที่เคยบอกว่าจะต้องเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ ก็เปลี่ยนเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไปและใช้เวลานานขึ้น ตอนนั้น คือ ต้องทิ้งทุกอย่างแล้วแหละ เพราะสิ่งที่เราทำ มันไม่แมตซ์กับคนอื่นเลย เราเข้ามาคิดเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง โดยไม่ดูความพร้อมและจังหวะการวิ่งของทีมเลยว่า เขาพร้อมจะไปกับเราไหม เราดูแต่ความต้องการของตัวเอง ในขณะที่ทุกคนชิลมาตลอด คุณพ่อกับคุณแม่เป็นเถ้าแก่ใจดี แต่เรากลับจะเอารูปแบบฝรั่ง รูปแบบที่เรียนมาที่คิดว่าดีมาใส่เลย ทุกอย่างก็เลยพัง

Q : บอกได้ไหม อะไรทำให้เวลาแค่ชั่วข้ามคืน คุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ จากเป็นคนมั่นใจเต็มร้อย กลับทิ้งทุกอย่างเป็นศูนย์ และเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง

     คิดว่า เป็นเพราะเรายอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ยอมรับว่าเราเองที่ไม่แมตซ์ ไม่เข้าพวก เป็นแกะดำตั้งแต่แรก เป็นมนุษย์ที่อยากได้ความสำเร็จ จนไม่ดูคนอื่นรอบข้าง ซึ่งถ้าเราไม่ยอมรับความผิดพลาด การแก้ไขก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

Q : คิดว่าอะไร คือ สิ่งที่หล่อหลอมให้กลายมาเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก จนเคยเกือบทำทุกอย่างพัง

     ต้องเล่าย้อนให้ฟังก่อนว่า ก่อนจะมาทำธุรกิจเครื่องจักรแปรรูปอาหาร ครอบครัวของเราเคยทำธุรกิจห้างท้องถิ่นอยู่ที่จังหวัดหนองคายมาก่อน เราโตมากับการเห็นภาพคุณแม่ยิ้มสวัสดีลูกค้า หยิบของใส่ถุง คิดตังค์ แล้วเราก็วิ่งเล่นไปมาตามบูธสินค้าแบรนด์นั้นแบรนด์นี้ เรียกง่ายๆ ว่ามีความเป็นลูกคุณหนูนิดๆ ชีวิตมีความสุข จนวันหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่เปลี่ยนมาทำธุรกิจนำเข้าเครื่องจักรที่กรุงเทพฯ ทำให้ต้องส่งเรากับน้องสาวไปอยู่ รร.ประจำที่หนองคาย ตอนนั้นเราอยู่ ป.3 น้องอยู่ ป.1 เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนเลย จากเคยมีคนทำอะไรให้ ก็ต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง จนมีคืนหนึ่งจำได้ว่าคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่มาก ก็เลยบอกกับตัวเองว่า “หนูจะเป็นเด็กดี จะทำให้พ่อแม่ภูมิใจ” เป็นการฝังชิพลงในหัว ตีกรอบให้ตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากเป็นคนไม่เคยมี Goal ให้กับตัวเอง ก็กลายเป็นคนจริงจังมากขึ้น จากที่ไม่เคยสอบได้ที่ 1 ก็ทำได้ เพราะเราอยากทำให้พวกท่านภูมิใจ

      อยู่ รร.ประจำได้แค่เทอมเดียว ก็ย้ายไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่กรุงเทพฯ พอเรียนเก่งขึ้น ก็เริ่มได้รับรางวัล อยากได้อะไร อากงก็ซื้อให้ สมัยนั้นคอมพิวเตอร์ตัวละ 5 หมื่น, ปริ้นเตอร์ตัวละ 3 หมื่น, ทอล์คกิ้งดิก เราได้แบบนี้เกือบทุกปี จนกลายเป็นเด็กที่เสพติดคำชม เสพติดความสำเร็จ ตอนจะเข้า ม.ต้น ก็ตั้งธงอยากสอบเข้าสตรีวิทยาให้ได้ ก็ทำได้ พอจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็ตั้งเป้าไว้ที่ บัญชี จุฬาฯ ซึ่งก็ทำได้ เลยมองย้อนกลับไปว่าที่เราทำสิ่งต่างๆ สำเร็จมาได้ตลอด เพราะเราใช้ความกตัญญู ในการตั้ง Goal แต่ละช่วงชีวิตผลักดันตัวเองมาเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้เลยหล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนชอบเป้าหมาย ชอบความท้าทาย และนิสัยไม่เหมือนใครในบ้าน

Q : ที่ว่าไม่เหมือนใครที่บ้าน อยากให้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย ปกติแล้ววัฒนธรรมองค์กรที่นี่เป็นยังไง

     คุณพ่อกับคุณแม่เป็นเถ้าแก่ที่ใจดีมาก ลูกน้องรัก ยกตัวอย่าง ระบบการจ่ายเงินเดือนของที่นี่จะไม่ใช้การโอนออนไลน์เข้าบัญชีเหมือนที่อื่น แต่จะใช้วิธีเถ้าแก่เป็นคนให้เงินสดกับมือ คุณพ่อจะให้พนักงานเข้าไปรับทีละคน และก็คอยสังเกตสีหน้า แววตาว่ามีความทุกข์อะไรไหม เหมือนเป็นการพูดคุยอัพเดตกันเดือนละครั้ง อย่างเวลาลูกน้องทำผิด ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น ก็ไม่เคยหักเงิน ยอมรับว่าถือเป็นความผิดพลาดของเราเอง แต่คราวหน้าก็ขอให้ระวังอย่าทำผิดซ้ำอีก กับลูกค้าก็เหมือนกัน สมมติถ้าเกิดเขามีปัญหา เช่น เครื่องจักรเสียกะทันหัน ต่อให้นอกเวลางาน คุณแม่ก็จะพยายามหาช่างไปช่วยซ่อมให้ได้ เคยมีลูกค้าสั่งเครื่องจักรไป แต่พอเอาไปใช้จริงปรากฏว่าใช้ไม่ได้ ป๊ากับม๊าก็ยอมคืนเงินให้ เพราะให้เขาเก็บเอาไว้ ก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ท่านจะสอนเสมอว่า คนฉลาดเกินไป ไม่มีใครคบ ต้องแกล้งโง่ให้เป็น รู้จักเสียเปรียบได้เปรียบ คนยอมเสียเปรียบให้คนอื่น เพื่อนรัก ทำงานก็ให้หลับตาข้างหนึ่ง ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก

Q : เคยคิดไหมว่า สมมติถ้าวันหนึ่งเราทำบริษัทของตัวเอง เป็นเราคนเดิมที่มีความมุ่งมั่น มั่นใจในตัวเอง ทีมงานที่ทำงานด้วย ก็เป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง ธุรกิจเราจะเป็นยังไง

     คิดว่าอาจเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จแบบสุดๆ เป็นซีอีโอที่เก่งมาก แต่ไม่มีใครรักเราเลยก็ได้ เพราะเราจะเป็นมนุษย์ที่มองแต่ตัวเลข ไม่มีหัวใจ มองแต่ผลลัพธ์ที่ได้ ทำนี้ ต้องได้กลับมาเท่านั้น เพราะจริงๆ เฟิร์นคนเดิม คือ คนที่มุ่งเน้นแต่เป้าหมาย สนุกกับเป้าหมาย เชื่อว่าอาจจะประสบความสำเร็จ แต่อาจจะเจ๊งก็ได้ เพราะลูกน้องเกลียด

Q : อะไร คือ สิ่งที่ทำให้คุณได้เรียนรู้ในวันนี้

     เฟิร์นได้เรียนรู้ว่าจริงๆ ธุรกิจครอบครัว สิ่งสำคัญ คือ การสื่อสาร และ Trust ความเชื่อมั่น ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่ก่อนเรายึดแต่งานเป็นหลัก จนไม่มองความสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่เคารพที่พ่อเป็นพ่อ มองว่าเขาไม่ได้เรียนมาเหมือนกับเรา สิ่งที่เราคิดถูกและดีที่สุดแล้ว แต่อย่างตอนนี้สมมติเสนออะไรไม่ผ่าน รู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ก็เอาไว้ก่อน จังหวะดีค่อยมานำเสนอใหม่ หรือถ้าไม่ผ่านจริงๆ ก็ยังมีคุณแม่กับน้องช่วยสนับสนุนได้ จนสุดท้ายก็ผ่านได้ เพิ่งรู้ว่าการที่จบมาใหม่ๆ ยืนเถียงพ่อ เป็นอะไรที่โง่มาก จริงๆ มันมีวิธีตั้งเยอะแยะมากมายที่สามารถทำได้ เพราะสุดท้ายเป้าหมายเรา คือ เพื่อครอบครัว อะไรที่ทำแล้วทำให้ท่านมีความสุขน้อยลง เครียด หรือนอนไม่หลับ ก็ไม่มีประโยชน์ ลูกน้องก็เหมือนกัน ควรทำให้เขาทำงานอย่างมีความสุข มองหน้าเขาก็นึกไปถึงลูกเขา ครอบครัวของเขา ทุกวันนี้จะเอาอะไรเข้ามาช่วยพัฒนา จะถามลูกน้องก่อนว่าเอาด้วยไหม ถ้าไม่ยกมือเห็นด้วยทั้งโต๊ะ เราก็ไม่เอามาใช้

Q : นี่หรือเปล่าเป็นเหตุผลทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตขึ้นหลายเท่า และได้รับรางวัลทางด้านธุรกิจอีกมากมาย

     ใช่ค่ะ เพราะคำว่า “คุณธรรม” คำเดียวเลย ตั้งแต่เข้ามาช่วยดูแลธุรกิจให้ครอบครัว ยอดขายเราเติบโตขึ้นถึง 4 เท่า ลูกค้าเรามีตั้งแต่เจ้าใหญ่ระดับประเทศ โมเดิร์นเทรด เชนร้านอาหาร ไปจนถึงร้านค้าเล็กๆ ดีใจที่แม้จะมีพนักงานแค่ 40 กว่าคน แต่เราได้เป็นฟันเฟืองสำคัญช่วยให้อุตสาหกรรมอาหารไทยเติบโต นอกจากนี้เรายังได้รับรางวัลอีกหลายรางวัล ได้แก่ รางวัล Gold Award ประเภทธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง (Trading) จากเวที SMEs Excellence Awards 2021, รางวัลธรรมาภิบาลดีเด่นแห่งปี 2565 จากธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์, รางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 18 และรางวัลสุดยอดผู้นำองค์กรภาคเอกชน (สุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2023) จากเวที Thailand CEO ECONMASS Awards 2023 เราไม่ได้วาง Goal เอาไว้ แต่มันก็สำเร็จขึ้นมาได้ เหมือนตอกย้ำว่าสิ่งที่ทำมาถูกต้องแล้ว ให้ทำต่อไป

Q : อยากให้พูดถึงตัวเองในวันก่อนกับเราในวันนี้

     เมื่อก่อนเฟิร์นรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนเกินร้อย มีความตั้งใจที่จะทำอะไรมากเกินกว่าปกติ ถ้าเปิดดูยูทูปก็เหมือนอยากเร่งสปีดให้เร็วขึ้นเป็น 1.25 เราเป็นแบบนั้น แต่ทุกวันนี้เราไม่ใช่คน 1.25 แล้ว ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 0.75 เป็นมนุษย์ที่ใจเย็น ใจดี เริ่มเห็นคุณพ่อคุณแม่ เห็นอากงในตัวเอง สิ่งที่เราเคยต่อต้านว่ามันมากเกินไป วันนี้เราเริ่มเห็นสิ่งนี้อยู่ในตัวเอง มีความเมตตาในหัวใจมากขึ้น ถึงอาจจะทำไม่ได้เท่าพวกท่าน แต่มันก็ช่วยเปลี่ยนตัวเราไปแล้วมากมายในวันนี้

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย

วิธีเปลี่ยนไอเดีย “ตัน” เป็น “มันส์” แบบ Matty Benedetto ยอดนักประดิษฐ์จอมกวน  

เพราะคำว่า “ไม่จำเป็น” ≠ “ไม่มีประโยชน์” ชิ้นงานแสนฮาของ Matty Benedetto “อัจฉริยะผู้ชั่วร้าย” จึงเป็นตัวอย่างชั้นดีให้กับผู้ประกอบการที่ตกอยู่ในอาการไอเดียตัน คิดอยากทำผลิตภัณฑ์ใหม่หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมได้ลองมาเรียนรู้กัน