คำสารภาพจากแม่ค้าประตูน้ำ ยอมออกจาก Comfort zone สู่โลกออนไลน์ เมื่อความสำเร็จเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป

TEXT : Neung Cch.

PHOTO : สุนันท์ ล้อสมทรัพย์

     ช่วงนี้มักได้ยินเสียงบ่นของพ่อค้าแม่ค้าหนาหูว่า เศรษฐกิจไม่ดีและไม่ใช่เศรษฐกิจไม่ดีแบบธรรมดา แต่เป็นเศรษฐกิจที่แย่สุดๆ รับรู้ได้จากแม่ค้าหลายรายได้โพสต์คลิประบายความในใจจนกลายเป็นไวรัล อาทิ คลิปแม่ค้าประตูน้ำรายหนึ่งบอกว่า ขายของมา 20 ปีไม่เคยเงียบเหงาขนาดนี้มาก่อน ขายได้แค่ 2 ใบเทาแต่ต้องเสียค่าเช่า 6 หลัก และยังมีอีกหลายคลิปจากผู้ประกอบการที่ออกมาระบายความในใจในทำนองเดียวกัน

     ล่าสุดทีมงาน SME Thailand Online ได้ไปสะดุดกับคลิปหนึ่งที่โพสต์ระบายความในใจว่า “...เชื่อไหมว่าเราเปิดแบรนด์เสื้อผ้าขายส่งมาเกิน 7 ปีแล้ว อยู่แถวประตูน้ำนี่แหละ ช่วงแรกๆ มันง่ายมาก อะไรที่เขาฮิตกันคือ เราทำมาขายหมดเกลี้ยง ...แล้วพอมาวันนี้ที่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ไอ้เราก็ไปโทษเศรษฐกิจต้องนาน เออใช่มันก็เพราะเศรษฐกิจส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่เรากำลังประสบปัญหาหลัก คือ เราไม่กล้าออกจาก comfort zone ของตัวเอง

     เจ้าของคลิปยังได้บอกต่อว่าเธอกับพี่สาวจึงได้ตัดสินใจก้าวออกจาก comfort zone ด้วยประสบการณ์ทางด้านการตลาดออนไลน์ที่เป็นศูนย์ แถมยังเป็น introvert แต่ก็จะขอพาแบรนด์ AKKARA STUDIO ก้าวสู่เวอร์ชั่นออนไลน์เต็มตัว

     นั่นทำให้เราสนใจแนวคิดนี้จึงได้ตามหาเจ้าของคลิปคือ พิชามญชุ์ อัคราธิวัฒน์ (โมสต์) Co-owner บริษัท อัครา สตูดิโอ จำกัด เจ้าของแบรนด์ AKKARA STUDIO กับการปรับตัวทางธุรกิจที่บอกว่าความสำเร็จในอดีตมันเป็นเหมือนดาบทำให้เกิดเป็นความเคยชิน จากยุคเฟื่องฟูประตูน้ำที่เคยทำรายได้สูงสุดวันละล้านบาท แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป รายได้ที่เคยได้มาง่ายๆ ไม่เกิดขึ้นแบบนั้นอีกแล้ว หากยังไม่ปรับตัวเองไม่ใช่แค่รายได้ที่หายไป แต่อาจต้องหลุดจากวงโคจรธุรกิจที่พวกเธอรัก ลองไปดูคำสารภาพของเธอกัน   

Q: ทั้งๆ ที่คลุกคลีและถือว่าการทำธุรกิจแจ้งเกิดมากับย่านประตูน้ำแต่ทำไมถึงตัดสินใจทุบหม้อข้าวตัวเอง

     คือ โมสต์ไม่ได้ยุติการขายของเป็นแม่ค้าขายส่ง อย่างที่บอกในคลิปคือ ต้องปิดร้านตรงประตูน้ำเพราะว่าค่าเช่าที่ตรงนั้นมันขึ้นเป็น 300,000 บาท ถือว่าราคาค่าเช่าขึ้นมาเยอะนะค่ะ คือตอนแรกค่าเช่าแถวนั้นเรทอยู่ในหลักแสนต้นๆ แต่หลังๆ มีนายทุนจากจีนมาเปิดร้านเองเยอะมากแล้วเขาพร้อมสู้ราคา ยิ่งทำให้ค่าเช่าที่ตรงนั้นโดดขึ้นไปเยอะ

     ตอนนี้โมสต์ไม่เห็นถึงความจำเป็นว่ามันต้องมีหน้าร้าน เพราะถ้าพูดตรงๆ เดี๋ยวนี้หน้าร้านโมสต์มันแทบขายไม่ได้เลยอย่าเรียกว่าแทบคือไม่ได้เลยดีกว่า ยิ่งค่าเช่าที่มันสูง แต่ตลาดมันเงียบลง โมสต์ก็เลยอยากลดต้นทุนตรงนี้เพื่อเอาไปเพิ่มในตรงส่วนของออนไลน์แทนค่ะ ก็เลยปิดหน้าร้านตรงนั้นและย้ายเข้าไปอยู่ร้านเล็กๆ อยู่ในห้างแถวนั้นแทนค่ะ คือเรายังไม่ได้ทิ้งการขายส่ง แต่ถามว่าตอนนี้จุดโฟกัสของเรามันเปลี่ยนจากออฟไลน์หันไปเน้นออนไลน์เต็มตัว

Q: ที่บอกว่าขายของไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้เป็นมานานหรือยังหรือว่าเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงปีนี้

     ตอนที่โมสต์เริ่มขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำช่วง 7 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมันเหมือนยุคทองเลยนะคือ แบบโมสต์ตื่นมาตั้งแต่ตี 5 มาถึงร้าน 6 โมงเช้าประมาณ 7 โมงก็มีคนมาต่อแถวรอซื้อของยาวแล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ร้านโมสต์เท่านั้น แต่เป็นเหมือนกันทุกร้านคือมีคนต่อแถวยาวหมดเลย คือมันซื้อง่ายขายคล่อง คู่แข่งก็ยังมีน้อย มันอาศัยแค่ทำแบบให้ไว มันเลยทำให้เราติดพฤติกรรมเก่าๆ

     แต่ปัจจุบันพฤติกรรมคนซื้อเปลี่ยนไปหมดแล้ว ตั้งแต่หลังโควิดบวกกับทุกอย่างมันเริ่มมาทางออนไลน์มากขึ้นคือ คนซื้อไม่ได้ซื้อเพราะเสื้อผ้าสวย คุณภาพดี แต่เขาซื้อ experience ด้วย ยกตัวอย่างคนส่วนใหญ่ชอบไปซื้อของในไลฟ์สดเพราะเขาได้ experience อย่างหนึ่งคือได้ความสนุกด้วย เพราะต้องรีบเข้าไปแย่งเอฟ ดังนั้นมันเลยเปลี่ยนวิธีการขายไปหมด ตอนนี้คนซื้อมีความรอยัลตี้ต่อแบรนด์น้อยลง เลยคิดว่าออนไลน์มาแรงมากๆ ซึ่งจริงๆ คนอื่นเขาคิดกันได้ก่อนเยอะมาก เขาไปทำออนไลน์กันนานแล้ว

Q: พูดได้ไหมว่าสถานการณ์บีบทำให้ต้องปรับตัว

     เมื่อก่อนตื่นเช้าอยากไปร้านทุกวัน พอวันที่มันขายไม่ได้โมสต์กับพี่สาวก็มีโทษเศรษฐกิจบ้าง คิดว่ารอก่อนอีกแป๊บนึงเดี๋ยวเศรษฐกิจก็ดีเว้ย เดี๋ยวเปลี่ยนรัฐบาลก็คงดี คือเรายังยึดติดกับ Comfort zone มองว่าเราไม่ถนัดเรื่องออนไลน์ คือปกติโมสต์เล่นแต่ไอจี โพสต์รูปของตัวเอง คือค่อนข้างเป็น introvert ไม่ชอบอยากคุยอะไรกับใครเยอะแยะ คิดว่าทำสินค้าให้ดีเดี๋ยวก็ขายได้

     แต่พอมาถึงจุดที่มันต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวแล้วอ่ะค่ะคือ มันต้องปรับตามสถานการณ์ซึ่งคนอื่นเขาปรับกันไปแล้วซึ่งเราก็ไม่รู้นะว่าคนที่ปรับตัวกันแล้วโอเคกันขนาดไหน แต่ตัวโมสต์เองแค่รู้สึกว่าทำไมเราแบบ Loser จังเลย เราต้องสู้แล้วก็พยายามพัฒนาตัวเอง ก่อนหน้านี้เราก็อยู่แค่นั้นขายหมด 3 โมงกลับบ้านพอจบใช้เงิน แต่ไม่ได้วางแผนอนาคตอะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็คือเหมือนได้สติปุ๊บบวกกับที่ว่าเราแค่รู้สึกว่าเราต้องพัฒนาตัวเอง

Q: เมื่อต้องก้าวออกจาก Comfort zone จริงๆ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง

     จริงมันก็ยังบอกอะไรไม่ได้โมสต์เพิ่งเริ่มแค่ 3 เดือน แต่สิ่งที่เห็นชัดคือ จากที่คิดว่าเราทำไม่ได้แน่เลย สุดท้ายโมสต์ก็พยายามจนโมสต์ว่าโมสต์ก็ทำโอเคขึ้นมาระดับหนึ่ง ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี ค่อยๆ ปูทางไปเป็นการ learning by doing คือจริงๆ มันก็สามารถจ้างเอาท์ซอร์สทำออนไลน์ได้ แต่แค่รู้สึกว่าเจ้าของต้องรู้พื้นฐานทั้งหมดก่อนด้วยไม่ใช่อยู่ดีๆจะไปจ้างเค้าเลย คือต้องปรับตัวแล้วลองหาความรู้เพิ่ม เราไม่เก่งอะไรก็ไปพัฒนาในจุดนั้น ไม่ใช่โทษแต่สถานการณ์บ้านเมืองแต่ไม่ได้ปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง

Q: จากคนที่เป็น Introvert เมื่อต้องปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์มีความรู้สึกลำบากใจไหม

     บอกเลยว่าหนูก็มีเคว้งๆ มีท้อเยอะมาก เพราะว่าจริงๆ มันมีหลายปัจจัยคือ ไม่ใช่แค่การก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนแต่มันมีเพนพ้อยท์อีกอย่างหนึ่งคือ ช่วงที่ขายดี กลายเป็นว่าตลาดฮิตอะไรเราก็ทำอย่างนั้นแหละ มันทำให้เราสูญเสียอัตลักษณ์ของแบรนด์ Akkara ไปซึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะตั้งแต่เริ่มทำตลาดออนไลน์ พอได้ทำคอนเทนต์ สังเกตว่าถ้าได้ทำสิ่งที่มันเป็นแพชชั่นของเราจริงๆ เสื้อผ้าเรามีอัตลักษณ์ชัดเจน ฟีดแบ็กมันดี การทำออนไลน์ต้องรู้จักสร้างแบรนด์ดิ้ง มันต้องมี personal branding ชัด ไม่งั้นมันจะขายของไม่ได้

     อีกอย่างตอนนี้คนไม่ได้ใช้จ่ายเหมือนยุคก่อนแล้วคือ อันนี้มันเป็นผลพวงเรื่องผลกระทบเศรษฐกิจด้วย แม้กระทั่งตัวหนูเองที่ปกติช้อปปิ้งบ้ากระจายมาก เมื่อก่อนอาทิตย์หนึ่งซื้อเสื้อผ้าใหม่ไปเที่ยวเมืองนอกค่าเสื้อผ้าแพงกว่าค่าทริปค่ะ แต่ตอนนั้นเป็นวัยเด็กตอนนั้นหนูอายุ 20 กว่า แต่ตอนนี้หนูอายุ 29 แล้ว การใช้จ่ายก็เปลี่ยนไปต้องคิดก่อนว่า ซื้อไปแล้วมันเวิร์กหรือเปล่ามันคุ้มค่าไหม มันก็ต้องคิดมากขึ้น

Q: ถ้าให้ลองเปรียบเทียบการตลาด 7 ปีก่อนกับปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง

     เมื่อก่อนโคตรง่ายสำหรับโมสต์ เพราะความโชคดีของโมสต์กับพี่สาวเรามีเรื่องสไตล์ มี test ที่โอเคระดับหนึ่ง  ยุคนั้นแข่งกันที่ความขยัน แข่งกันที่ทำแบบได้ไว เรียกได้ว่าร้านเรานำเทรนด์ในตอนนั้น ถือว่าเป็นร้านแรกๆ ไปเอาเสื้อยืดจากจีนมีโชกเกอร์ในตัวมาขาย จำได้วันแรกที่ขายมีเสื้อพันกว่าตัวเปิดร้าน 10 กว่านาทีหนูขายหมดเกลี้ยง แล้วหนูก็ติดกับการทำตลาดแบบเดิมๆ ออกแบบ สเก็ตซ์ ส่งให้โรงงานๆ ผลิตให้เรา คำนวณต้นทุน ค่าขนส่ง ค่าถ่ายแบบ เอารูปไปโพสต์ในกลุ่มแม่ค้า ซึ่งมันง่ายมากทุกอย่างผ่านแอปเดียวคือ ไลน์แอดจบ

     ยุคนี้อาจจะต้องอาศัยเรื่องการตลาดออนไลน์ซึ่งหนูกับพี่ไม่มีทักษะทางด้านนี้ คิดว่ายุคนี้ยากมากสำหรับหนูสองคน ต้องมีการทำคอนเทนต์ ทุกวันนี้ไปไหนต้องทำคอนเทนต์ ชีวิตติดคอนเทนต์ มันเหนื่อยนะ ยากขึ้น แต่พอตอนนี้เริ่มปรับตัวได้ก็ชอบ สนุกดี

     ถามว่าเมื่อก่อนหนูได้พัฒนาสกิลอะไรใหม่ๆ ไหม หนูไม่ได้พัฒนาอะไรเลย อยู่เหมือนแม่ค้าขายส่งไปวันๆ ทุกวันนี้รู้สึกได้พัฒนาตัวเอง รู้สึกภูมิใจด้วย ต่อให้มันไปไม่รอดนะแต่ก็แค่รู้สึกว่ากูก็เก่งเหมือนกันโว้ยทำได้ว่ะ คนเราไม่ควรหยุดพัฒนาเลย โลกสมัยนี้ไปเร็วมาก

            

Q: อยากจะฝากอะไรสำหรับคนที่ยังยึดติดกับการตลาดแบบเดิมที่ยังไม่กล้าก้าวออกจาก comfort zone

     เรื่องของการแข่งขันมีทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่ต้องเอาชนะให้ได้คือตัวเราเอง อย่างตัวหนูเองที่ยังกลัวอยู่ไม่กล้า จริงๆ ตอนนี้หนูควรเริ่มไลฟ์ขายของได้แล้ว แต่ยังผลัดไปก่อน ยังเขินอยู่ไม่กล้าพูดหน้ากล้อง ก็ค่อยฝึกไปปรับตัวไป แต่หนูเชื่อเรื่องของกฎแรงดึงดูด อยากเก่งก็ต้องอยู่กับคนที่เก่ง คนที่เขาประสบความสำเร็จ คนรอบข้างก็สำคัญ ถ้าทุกวันนี้ยังงมโข่งอยู่ประตูน้ำ มันก็คงเป็นเหมือนเดิมๆ แต่พอวันนี้เราพยายามมากขึ้น อย่างน้อยเราก็ได้พัฒนาตัวเอง”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

Succession – ซีรีส์บทเรียนธุรกิจครอบครัว เลือดข้นกว่าน้ำ แต่เงินข้นกว่าเลือด

เลือดข้นกว่าน้ำ แต่เงินข้นกว่าเลือด" คำพูดที่สะท้อนความจริงอันโหดร้ายในซีรีส์ Succession ได้อย่างดี ที่พูดถึงการแย่งชิงอำนาจ ตำแหน่งภายในครอบครัวสามารถสร้างทั้งความสำเร็จ และความขัดแย้ง การวางแผนหรือการจัดการที่ไม่ชัดเจน

ดีปาษณะ กับไอเดียแตกไลน์สินค้า จากระดับความสุกของกล้วย สร้างมูลค่าเพิ่มจากศูนย์ สู่ 1,000%

พูดถึง ‘กล้วย’ ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นพืชวิเศษที่มีประโยชน์มากมาย ใช้ได้ตั้งแต่ราก ใบ ลำต้น หน่อ จนถึงผล แต่รู้ไหมว่านอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว หากถูกนำมาแปรรูปดีๆ กล้วย เพียง 1 ลูก จากราคาไม่ถึงบาท ก็อาจทำเงินเพิ่มขึ้นมาได้หลายพันเปอร์เซ็นต์

คำมี สตูดิโอ ปั้นดิน กินพิซซ่า สร้างงานเซรามิกให้เป็นเวิร์กช็อปแห่งแรกของแพร่

‘คำมี สตูดิโอ’ สตูดิโอเซรามิกแห่งแรกของแพร่ที่มีเวิร์กช็อปให้ผู้สนใจ เปิดสอนเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ และจันทร์เท่านั้น เป็นคราฟต์เซรามิกที่มีเอกลักษณ์เป็นงานไม่มีรูปแบบ ถนัดปั้นขด ทำแค่สิ่งที่ตัวเองถนัด เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน