TEXT : สุภาวดี ใหม่สุวรรณ
เวลานี้โลกได้ก้าวผ่านยุคโลกร้อนเข้าสู่ยุคโลกเดือด จึงได้เห็นภาคส่วนต่างๆ ทั่วโลกใช้ “คาร์บอนเครดิต” เป็นกลไกหรือเครื่องมือในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero เมื่อความต้องการคาร์บอนเครดิตมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการควรใช้โอกาสในการพัฒนาตนเองเป็นผู้ผลิตหรือผู้ขายคาร์บอนเครดิต หรือ Seller Carbon Credit
แต่ก่อนอื่นมาทำความรู้จักคาร์บอนเครดิตและสำรวจวิธีที่จะก้าวเดินบนเส้นทางนี้กันก่อน
1.คาร์บอนฟุตพริ้นท์” กับ “คาร์บอนเครดิต” คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นโดยมีเป้าหมายหลักในการลดภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ
แต่เอสเอ็มอีอย่าสับสนคำว่า “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” กับ “คาร์บอนเครดิต”
คาร์บอนฟุตพริ้นท์ คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ “ปล่อย” จากทั้งองค์กร บุคคล หรือผลิตภัณฑ์
ส่วนคาร์บอนเครดิต คือ ปริมาณ ก๊าซเรือนกระจกที่ “ลดลง” หรือ “กักเก็บได้” จากการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับการดำเนินธุรกิจตามปกติ
จะเห็นว่า 2 คำนี้มีความหมายตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
2.คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ หรือภาคบังคับ มีความหมายอย่างไร
วันนี้คาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเป็น “ภาคสมัครใจ” แต่ในอนาคตจะมีกลไกภาคบังคับเพิ่มเข้ามา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะทำให้มีระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) และภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เข้ามาเกี่ยวข้อง
สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ด้วยระบบ Cap and Trade แต่ละอุตสาหกรรมจะถูกจำกัดสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละปี ถ้าปล่อยเกินเกณฑ์ ต้องซื้อสิทธิมาชดเชย ถ้าปล่อยต่ำกว่าเกณฑ์ สามารถเก็บคาร์บอนเครดิตไว้ใช้ภายหลังหรือขายให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ปล่อยคาร์บอนเกินได้
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะฝั่งยุโรปและอเมริกา มีการบังคับใช้ ETS (Emission Trading Scheme) และภาษีคาร์บอนแล้ว รวมทั้งเพื่อนบ้านของเราอย่างสิงคโปร์ นี่เป็นเมกะเทรนด์ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
3.SME สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้หรือไม่
การจะได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต เอสเอ็มอีต้องสำรวจตัวเองก่อนว่ามีความพร้อมที่จะทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในเรื่องใด ซึ่งควรจะตอบโจทย์ธุรกิจของตนเป็นหลัก เช่น ปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน จัดการของเสีย ฯลฯ แล้วให้คาร์บอนเครดิตเป็นผลพลอยได้จากสิ่งที่ทำ
โดยทั่วไปคาร์บอนเครดิตมีที่มาจากกิจกรรม 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1.กิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ทดแทนไฟฟ้าจากสายส่ง ยิ่งผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ได้มาก คาร์บอนเครดิตก็มากตามไปด้วย
2.กิจกรรมดูดกลับก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และการปลูกป่า กรณีการปลูกป่านั้นหากพื้นที่โครงการมีต้นไม้อยู่เดิมถือว่าไม่นับ คาร์บอนเครดิตจะเกิดขึ้นนับจากวันที่เอสเอ็มอีขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตแล้วเท่านั้น
4.เริ่มต้นซื้อขายคาร์บอนเครดิตต้องทำอย่างไร
ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้ต้องได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานต่างๆ ก่อน จึงจะสามารถนำมาซื้อขายกันได้
ตัวอย่างมาตรฐานคาร์บอนเครดิตที่ได้รับความนิยมในระดับสากล เช่น Clean Development Mechanism (CDM) ซึ่งเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ Gold Standard (GS) ซึ่งพัฒนาโดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอื่นๆ และ Verified Carbon Standard (VCS) ของ Verra
สำหรับประเทศไทย คาร์บอนเครดิตที่สามารถนำมาซื้อขายได้ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย หรือ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Project) ซึ่งดูแลโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.
5.ต้องการขอรับรองจากโครงการ T-VER ต้องทำอย่างไร
ผู้ที่จะเป็นเจ้าของคาร์บอนเครดิตได้คือ “ผู้พัฒนาโครงการ” หรือ “เจ้าของโครงการ” ซึ่งอาจเป็นคนละรายกันก็ได้ เช่น บริษัท A ติดตั้งโซลาร์และขายไฟฟ้าให้โรงงาน B หากบริษัท A อยากจะทำโครงการ T-VER ก็ต้องไปขอสิทธิจากโรงงาน เช่นเดียวกันถ้าโรงงานอยากทำคาร์บอนเครดิต ก็ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของระบบโซลาร์ แต่ทั้งผู้พัฒนาโครงการและเจ้าของโครงการสามารถแบ่งปันคาร์บอนเครดิตได้หากทำข้อตกลงร่วมกัน
ไม่ว่าจะรับบทใด หากต้องการขอรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER ก็ต้องจัดทำเอกสาร จัดเก็บข้อมูล และขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต รวมถึงเปิดบัญชีคาร์บอนเครดิตกับ อบก. จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบความใช้ได้และการทวนสอบ (Validation & Verification) จากผู้ประเมินภายนอก หากผ่านก็จะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อบก. โดย 1 เครดิต เท่ากับ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งนี้ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ผ่านการรับรองจะถูกบันทึกอยู่ในระบบบัญชีคาร์บอนของผู้ยื่นขอโดยไม่มีวันหมดอายุ ตราบใดที่มิได้โยกย้ายถ่ายโอนให้กับผู้อื่น
6.การดำเนินการต่างๆ มีค่าใช้จ่ายอย่างไร
ทุกครั้งที่ขอรับรองคาร์บอนเครดิตมีค่าใช้จ่ายเสมอ จึงควรศึกษาวิธีการยื่นขอรับรองให้ดี เช่น กรณีที่กิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกมีระบบเดียว แต่ติดตั้งหลายแห่งในเวลาใกล้เคียงกัน เช่น โครงการติดตั้งแผงโซลาร์ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้โดยพัฒนาโครงการแบบควบรวมและขอขึ้นทะเบียนภายใต้โครงการเดี่ยวได้ โดยไม่ต้องขอหลายครั้ง
กรณีติดตั้งหลายแห่ง แต่ระยะเวลาในการติดตั้งไม่พร้อมกัน โดยอาจมีแผนจะติดตั้งภายใน 5 ปี ถ้าทำโครงการแบบควบรวมจะเสียประโยชน์ ได้เครดิตไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แนะนำให้ทำโครงการแบบแผนงานและขึ้นทะเบียนภายใต้กลุ่มโครงการย่อย ซึ่งเอสเอ็มอีสามารถเพิ่มโครงการย่อยได้เรื่อยๆ และขอรับรองคาร์บอนเครดิตได้พร้อมกัน จะช่วยลดค่าใช้จ่าย จึงเหมาะสำหรับโครงการขนาดเล็กๆ อย่างมาก
7.กิจกรรมแบบไหนที่จะเข้าหลักเกณฑ์ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER
ไม่ใช่ทุกกิจกรรมที่ลดก๊าซเรือนกระจกจะได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER โดยกิจกรรมดังกล่าวจะต้อง…
1.เป็นกิจกรรมที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
2.เป็นกิจกรรมที่ไม่ใช่กฎหมายบังคับให้ทำ เช่น บริษัทที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมต้องมีพื้นที่สีเขียว
3.สามารถตรวจวัดในเชิงปริมาณหรือเชิงตัวเลขได้
4.ไม่มีการทำซ้ำ เช่น การขึ้นทะเบียนซ้ำ หรือใช้เครดิตไปแล้ว จะไปหลอกขายคนอื่นอีกไม่ได้
8.รูปแบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยมีแบบไหนบ้าง
การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยมี 2 รูปแบบ ได้แก่
1.Over-the-counter ในอดีตผู้ซื้อและผู้ขายจะเจรจาต่อรองกันเองโดยตรง เมื่อตกลงซื้อขายกันแล้วจึงแจ้ง อบก. ให้ถ่ายโอนคาร์บอนเครดิต
2.FTIX Exchange แพลตฟอร์มการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่พัฒนาขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ อบก. เพื่อความโปร่งใสในเรื่องของราคา ลักษณะการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะเหมือนกับการเทรดในตลาดหุ้น ปัจจุบันเปิดให้บริการเฉพาะนิติบุคคลเท่านั้น
9.การกำหนดราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ปัจจุบันมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตอยู่ที่ราคา 19-3,000 บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยราคาซื้อขายขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาคาร์บอนเครดิต ได้แก่ ประเภทโครงการ กิจกรรมการดำเนินการ ที่ตั้งโครงการ หน่วยงานที่เป็นเจ้าของเครดิตก็มีผลเช่นกัน เช่น หน่วยงานที่เป็นชุมชนมักได้รับโอกาสมากกว่า เพราะผู้ซื้อนิยมซื้อกับชุมชนท้องถิ่น ด้วยมองว่าเงินที่จ่ายไปจะถูกนำไปใช้บริหารจัดการเพื่อประโยชน์ของชุมชน ดังนั้น โครงการใดที่ก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนร่วม ย่อมมีแนวโน้มที่ราคาเครดิตจะสูงตาม
10.การสนับสนุนด้านคาร์บอนเครดิตจากหน่วยงานภาครัฐมีมากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบันมีหลายมาตรการออกมาเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ เช่น สสว. ให้เงินสนับสนุนเอสเอ็มอีเกี่ยวกับค่าทวนสอบและค่าขอการรับรองกับ อบก. ด้าน BOI ก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำผ่านกลไกยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าของเครดิตและผู้พัฒนาโครงการที่ขายคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้จากกำไรในการขายคาร์บอนเครดิต จึงเป็นโอกาสของเอสเอ็มอีอย่างยิ่งในการก้าวเดินบนสายสีเขียวนี้
เรียบเรียงจากงานสัมมนา : The Business Game Changer : เมกะเทรนด์ขับเคลื่อน SME สู่ความยั่งยืน ดร.ปราณี หนูทองแก้ว ผู้จัดการสำนักรับรองคาร์บอนเครดิต อบก.
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี