Wrigley's ผู้บุกเบิกกลยุทธ์ของแถม สู่แบรนด์หมากฝรั่ง ขายดีที่สุดในโลก

 TEXT : Neung Cch.

 Main Idea

  • ความล้มเหลวที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันคือบ่อเกิดแหล่งสร้างรายได้สำหรับคนที่ไม่เพิกเฉย

 

  • เหมือนกับ Wrigley's บริษัทที่เริ่มจากขายสบู่และเบกกิ้งโซดา แต่กลับมาประสบความสำเร็จในธุรกิจหมากฝรั่งที่เป็นของแถมแจกให้ลูกค้าฟรี

 

  • จากของแถมกลายเป็นสินค้าหลัก บวกกลยุทธ์การตลาดทำให้แซงหน้าเจ้าตลาดกลายเป็นแบรนด์หมากฝรั่งที่ขายดีที่สุดในโลก

 

เชื่อในเรื่องแรงจูงใจ

     หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Wrigley บริษัทที่มีอายุกว่า 130 ปีที่มียอดขายหมายฝรั่งดีที่สุดในโลกนั้น เริ่มต้นมาจากการผลิตสบู่ แต่กลับประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในฐานะเจ้าของหมากฝรั่งที่มีรสชาติที่คนทั่วโลกรู้จักดีอย่าง Juicy Fruit และ Spearmint โดยมียอดขายมากกว่าแบรนด์อันดับ 2 อย่าง Kraft Foods' Trident ถึงสองเท่า ตามรายงานของ Euromonitor International

     ต้องยอมรับว่าความสำเร็จนี้มาจากกลยุทธ์การตลาดและการขายที่ชาญฉลาดของ William Wrigley Jr. ลูกชายของ William Sr. ผู้ก่อตั้งบริษัท Wrigley Manufacturing นั่นเอง

     ย้อนกลับไปในวัยเด็ก Wrigley ค่อนข้างเป็นเด็กเกเร หนีออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก เมื่อเขาตัดสินใจกลับมาบ้านพ่อก็ให้เขาเป็นเซลล์ขายสบู่ กระทั่งอายุราว 29 ปี Wrigley ได้สร้างกิจการร้านขายสบู่ขัดตัวเล็กๆ ของตัวเองขึ้น พร้อมกับพลิกโฉมการตลาด เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายสินค้าเริ่มไม่อยากขายเพราะได้กำไรน้อย ด้วยความที่เป็นคนที่เชื่อในเรื่อง Incentive หรือ แรงจูงใจ เขาจึงคิดโปรโมชันให้ตัวแทนจำหน่ายคือ เมื่อใดก็ตามที่ซื้อสบู่ 1 ก้อนจะได้รับฟรีผงฟูทำขนม 1 ห่อ หรือร่ม 1 คัน

     ต่อมา Wrigley พบว่าผงฟูที่เขาแจกให้กับลูกค้านั้นได้กระแสตอบรับจากลูกค้าดีกว่าสบู่ซึ่งเป็นสินค้าหลัก เมื่อลองเคาะตัวเลขแล้วเขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาขายผงฟู แต่ก็ยังไม่ลืมกลยุทธ์ของแถมแต่คราวนี้เขาเปลี่ยนจากผงฟูเป็นหมากฝรั่ง และก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ของแถมได้รับกระแสตอบรับดี นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์หมากฝรั่ง Wrigley อันยิ่งใหญ่

มือใหม่ต้องแข่งกับเจ้าตลาด

     เมื่อตัดสินใจลุยทางด้านนี้แล้ว ราวปี ค.ศ.1892-1893 Wrigley ผลิตหมากฝรั่งรสชาติใหม่สองรสได้แก่รส Juicy Fruit และ Spearmint พร้อมทำการขยายเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ต้องพบกับความยากลำบากในการต่อกรกับยักษ์ใหญ่เดิมที่อยู่ในตลาด

     อย่างไรก็ตามความเป็นนักการตลาดในสายเลือดทำให้ Wrigley เลือกที่จะใช้กลยุทธ์โฟกัสบน Product ที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดนั่นคือรส Spearmint พร้อมกับทุ่มงบโฆษณามหาศาลสวนทางกับบริษัทอื่นๆ ที่ต่างลดงบประมาณค่าโฆษณาลงในยุคที่เศรษฐกิจพัง (ค.ศ.1907) ผลคือ Wrigley ประสบความสำเร็จในการโปรโมท Spearmint ให้ดังไปทั่วอเมริกาด้วยโฆษณาคลาสสิค ด้วยแคมเปญโฆษณาที่ชื่อว่า “The Girl with the Wrigley Eyes”

     นอกจากชื่อเสียงแล้วยังส่งผลให้ในปีต่อมายอดขายของ Wrigley's Spearmint เพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน 3 ปี ยอดขายโดยรวมของบริษัทพุ่งขึ้นจาก 170,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ Wrigley’s กลายเป็นแบรนด์หมากฝรั่ง ที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐอเมริกา

จากแจกของแถมเป็นแจกสินค้าจริง

     แม้ยอดขายจะติดลมบนแล้วแต่ Wrigley ยังไม่หยุดคิดหาวิธีสร้างยอดขายใหม่ๆ ซึ่งคราวนี้เขาไม่ได้แจกของแถมแต่เปลี่ยนมาใช้วิธีการส่งสินค้าตัวอย่างจริงไปให้คนทั่วอเมริกากว่า 1.5 ล้านครัวเรือน ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในสมุดโทรศัพท์ของสหรัฐอเมริกาได้ทดลอง

     นอกจากนี้ยังขยายกลุ่มลูกค้าเข้าถึงกลุ่มเด็กๆ โดยการส่งหมากฝรั่ง 2 แท่งให้ในวันเกิดของเด็กทุกคน เมื่ออายุครบ 2 ขวบอีกด้วย

     คำว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” น่าจะใช้ดีกับครอบครัวนี้เมื่อ Philip ลูกชายของ Wrigley ได้สร้างผลงานการตลาดอันยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่พ่อทำไว้ คือ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Wrigley สั่งหยุดผลิตสินค้าป้อนตลาด และผลิตสินค้าเพื่อส่งไปให้กองทัพสหรัฐอเมริกาแทน ในครั้งนั้น Philip ได้ทำแคมเปญโฆษณา ที่มีภาพซองหมากฝรั่ง Wrigley กับข้อความ “Remember this wrapper” ผลคือแบรนด์ Wrigley โด่งดังยิ่งกว่าเดิม และทำยอดขายถล่มทลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จวบจนถึงปัจจุบัน

     นอกจากนี้เขายังเป็นบริษัทแรกๆ ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ที่ให้ลูกน้องทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน จากเดิม 6 วันต่อสัปดาห์

     การตลาดที่ดีมักเป็นหนึ่งในปัจจัยของความสำเร็จทางธุรกิจ เหมือนกับเรื่องราวของ Wrigley

  • ปี 2008 Wrigley’s ถูก Mars บริษัทขนมหวานที่ใหญ่สุดในโลก เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่าประมาณ 750,000 ล้านบาท

 

  • ปี 2016 Mars ประกาศว่า หมากฝรั่ง Wrigley’s จะถูกรวมเข้ากับกลุ่มช็อกโกแลต เพื่อจัดตั้ง Mars Wrigley Confectionery เป็นบริษัทย่อยในเครือ

 

  • ปัจจุบัน บริษัท Mars Wrigley Confectionery ได้จำหน่ายหมากฝรั่ง Wrigley’s รวมถึงผลิตภัณฑ์ในเครือ เช่น Mars, M&M’S และ Snickers ในกว่า 180 ประเทศ รวมถึงมี 21 โรงงานผลิตใน 14 ประเทศทั่วโลก

 

ที่มา : https://shorturl.asia/Euzh6

https://medium.com/@marketongmkt/wrigley-beb76be335a0

https://www.antiquetrader.com/auctions/wrigley-chewing-gum

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

เจาะกระบวนท่าท้าดวล ส่ง “อบอวล” สู้ศึกตลาดยาดม ปรุงกลิ่นหอมแปลกใหม่ ไม่เหมือนใครจากมือแพทย์แผนไทยประยุกต์สุดล้ำ!

“อบอวล” แบรนด์ยาดมสุดชิค ที่กำเนิดจากความคิดของแพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่ ไม่ใช่แค่สดชื่น แต่ต้องถึงกับร้องว่า “มีกลิ่นนี้ด้วยหรือฟะ!” อะไรคือเบื้องหลังที่ทำให้ “อบอวล” ที่มีอายุกว่า 3 ปี โดดเด่นไม่แพ้ใคร..ลองไปกะเทาะดูเนื้อในของธุรกิจกัน

ทำไม Live Exchange จึงเป็นตลาดทุนที่ SME อยากโตต้องรู้จัก ฟัง ประพันธ์ เจริญประวัติ

พูดคุยกับบ "ประพันธ์ เจริญประวัติ" ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ MAI และ Live Exchange ที่จะบอกเล่าว่าทำไม การระดมทุนคือกลไกสำคัญที่จะพา SME ไปสู่ความสำเร็จ และ Live Exchange คือบันไดขั้นแรกที่ SME ทุกขนาดต้องรู้จัก

 The 3rd daughter วาดฝันให้เป็นจริง จากสติกเกอร์สู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ครองใจคนกว่า 10 ปี

ชวนไปดูเส้นทางการทำธุรกิจที่เริ่มต้นจากความหลงใหลในศิลปะจนพัฒนาแบรนด์ The 3rd daughter เข้าไปอยู่ในชีวิตของใครหลายคนผ่านสารพัดของกระจุกกระจิกที่แสนน่ารักมาได้มากกว่า 10 ปี! ของตาต้า-ลดาพร ทรัพย์ภคกุล