TEXT : Nitta Su.
PHOTO : สวีท มีท
Main Idea
- การเข้าไปแข่งขันทำธุรกิจในตลาดแมสที่มีแบรนด์ยักษ์ใหญ่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
- เหมือนเช่นกับ “เพลิน” แบรนด์น้ำมันพืชน้องใหม่ที่เปิดตัวขายอยู่ในตลาดน้ำมันพืชไทยมาได้ 5 ปี แม้เริ่มต้นขึ้นมาจากแบรนด์เล็กๆ ยอดขายปีแรกๆ ไม่กี่สิบล้านบาท แต่ปีล่าสุดกลับสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1,200 ล้านบาท
- จากผู้เล่นรายใหม่เติบโตขึ้นมากลายเป็นรายใหญ่ได้ยังไง ไปหาคำตอบพร้อมกัน
ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน ในขณะที่ผู้บริโภคคนไทยยังคุ้นชินและรู้จักกับแบรนด์น้ำมันพืชแมสโปรดักต์ที่วางขายอยู่ตามเชลฟ์ต่างๆ ตั้งแต่ร้านโชห่วย จนถึงซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าใหญ่ “เพลิน” น้ำมันพืชแบรนด์เล็กๆ ก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขอแชร์พื้นที่ส่วนแบ่งการตลาดที่มีมูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท แถมมีแบรนด์ยักษ์ใหญ่ผูกขาดเป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก มันเกิดขึ้นได้ยังไงลองมาดูวิธีคิดของ เอกภัท เตมียเวส ประธานกรรมการบริษัท สวีท มีท (ประเทศไทย) จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเตมียเวส กรุ๊ป ผู้เล่นรายใหม่ในตลาดน้ำมันพืชไทยกัน
Q : คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักสนใจธุรกิจสมัยใหม่ หรือเกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่ทำไมคุณถึงหันมาลงทุนทำธุรกิจน้ำมันพืช ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีมานาน และมีรายใหญ่เป็นเจ้าตลาดผูกขาดอยู่แล้ว
ผมมองว่าไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไร เราต้องดูว่าสรุปเราทำไปถึง At The End แล้ว เมื่อเราถึง Goal เราต้องการอะไรจากสิ่งนี้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรอย่างเดียว แต่ผมมองว่ามัน คือ Goal Beyond Profit คือ ผมตั้งใจที่อยากจะผลิตสินค้าขึ้นมา และรู้สึกดีที่ลูกค้าอยากใช้ มีคนอยากซื้อไปขายต่อ ตรงนี้มันมากกว่าเงิน พอมีจุดนี้ ก็ทำให้เรายืนระยะในธุรกิจนี้ได้มากกว่า
Q : ทำไมถึงต้องเป็นน้ำมันพืช
โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบกินขนม และก่อนหน้านี้เรารับ OEM ทำสแน็คส่งต่างประเทศอยู่แล้ว แต่ช่วงหนึ่งตลาดหลัก คือ จีน ฮ่องกง เขาเข้ามา Sourcing จัดหาสินค้าด้วยตัวเอง เราเลยเปลี่ยนมาขายในประเทศแทน และรับพวกสินค้า FMCG หรือสินค้าอุปโภค-บริโภคอื่นๆ รวมทั้งน้ำมันพืชมาขายด้วย โดยขายส่งให้กับผู้จัดจำหน่ายต่างๆ ผมมองว่าธุรกิจเกี่ยวกับของกินยังไงมันก็คือ ปัจจัย 4 แม้วันนี้เราอาจจะมีปัจจัย 5, 6, 7 เพิ่มเติมขึ้นมาก็ตาม แต่ยังไงคนก็ยังต้องกิน และน้ำมันพืช ก็คือ วัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตอาหารเลยอยากลองทำแบรนด์เล็กๆ ของตัวเองขึ้นมา เพื่อขายให้กับลูกค้าที่มีอยู่ในมืออยู่แล้วเท่านั้นเอง
แต่กลายเป็นว่าพอลองเอาคอนเซปต์ เอารูปแบบสินค้าไปเสนอ กลับไม่มีใครรับทำให้เลย ผมไปติดต่อมา 7 – 8 เจ้า ถูกปฏิเสธทั้งหมด ก็เลยตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่าเป็นเพราะอะไร ลองหาข้อมูลมาวิเคราะห์ดู จนพบว่านเป็นธุรกิจที่มี Opportunity หรือโอกาสอยู่อีกมาก เมื่อหาคนทำให้ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตของตัวเองขึ้นมา
Q : คุณเริ่มต้นทำธุรกิจน้ำมันพืชของตัวเองขึ้นมาได้ยังไง
ผมไม่ได้มีเงินทุนอยู่ในมือมาก ผมเริ่มต้นลงทุนที่ 20 ล้านบาท เป็นค่าเครื่องจักร วัตถุดิบ และอุปกรณ์การผลิตต่างๆ ตอนนั้นโรงงานก็ยังต้องเช่าไปก่อนเลย เพราะเงินไม่พอ ซึ่งพอได้ลองเข้าไปทำจริงๆ ถึงได้รู้คำตอบว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงไม่อยากให้เราเข้าไปทำ ก็เพราะมันดี เป็นสินค้าที่ใครๆ ก็ต้องใช้ แค่เปิดโรงงานเดือนแรกถึงเป็นรายเล็กๆ แต่เราก็มียอดจองเข้ามาเต็มตลอด บางรายสั่งออร์เดอร์ไว้ล่วงหน้าก็มี โดยเราเริ่มต้นจับกลุ่มลูกค้าแบบ B2B พวกโรงแรม ร้านอาหาร และตัวแทนจำหน่ายขายส่งก่อน
Q : ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการเป็นอย่างไรบ้าง
สวีท มีท (ประเทศไทย) จำกัด เราก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2561 ตอนนั้นมูลค่าตลาดน้ำมันพืชอยู่ที่ราว 2 หมื่นกว่าล้าน ปีแรกเราทำแต่น้ำมันปาล์มก่อนทำยอดขายได้ 44 ล้าน ปีต่อมา 46 ล้าน จนปี 2563 กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 200 ล้าน, ปี 64 ยอด 750 ล้าน ปีนี้คาดว่าจะปิดที่ 1,200 ล้านบาท
โดยเริ่มต้นเราเริ่มจากน้ำมันปาล์มก่อน ซึ่งยอดขายกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเรามาจากในประเทศทั้งหมด จนปีนี้เราเริ่มผลิตน้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันเมล็ดทานตะวัน และน้ำมันรำข้าวเพิ่มขึ้นมา มีการส่งไปขายต่างประเทศด้วย โดยปัจจุบันเรามีการทำตลาดที่ออสเตรเลีย, CLMV, และก็ยุโรปบ้าง กำลังการผลิต ณ ปัจจุบันเราผลิตได้วันละ 6,000 ลัง สำหรับไซส์ขวด 1 ลิตร โดยในปี 2566 เราเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตเป็นเดือนละ 7.2 ล้านขวด เพื่อเตรียมรองรับลูกค้าที่จะเข้ามา ปัจจุบันเรามีแชร์สัดส่วนอยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์ของตลาดในส่วนของน้ำมันพืชไทย
Q : มีวิธีบริหารธุรกิจยังไง ให้สามารถทำตลาดในขณะที่มีแบรนด์ใหญ่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วได้
นอกจากผลิต ผมเริ่มจากขายของเองด้วย เราชนลูกค้าเองเลย เวลามีปัญหาอะไร เราสามารถแก้ไขให้เขาได้ทันที สมมติล็อตแรกเราขายเขาราคาเท่านี้ แต่พอเขาเอาขายไปแล้วราคาตลาดเกิดลง เราก็เข้าไปคุยว่าล็อตหน้าเราก็ให้ราคาพิเศษนะเพื่อชดเชย กลายเป็นพอเราดูแลลูกค้าแบบนี้ ก็ทำให้เขาสามารถคุยกับเราได้ง่ายขึ้น ในความเล็กที่เรามีเลยกลับเป็นเรื่องที่แข็งแรงกว่า เพราะเขารู้เลยว่า “เพลิน คือ ผม” แต่ถ้ายี่ห้ออื่น ก็คือ น้ำมันพืชแบรนด์หนึ่ง
Q : ตรงนี้หรือเปล่าที่เป็นจุดแข็ง คือ คนทำธุรกิจรุ่นก่อนอาจทำรูปแบบเดิมๆ แต่เราเป็นคนรุ่นใหม่ ชอบศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล และทำวิธีการใหม่ๆ เลยทำให้ได้เปรียบมากกว่า
ผมว่าคนเจนเนอเรชั่นก่อน เขาอาจมีสไตล์การทำธุรกิจอีกแบบหนึ่ง มีความเชื่อและทัศนคติอีกแบบ กลายเลยเห็นแต่ภาพเดิมๆ เช่น ต้องให้เซลล์เข้าไปจดออร์เดอร์สิ ไปวางบิลสิ แต่เรามองว่าการที่เราไดเรกตรงถึงลูกค้าเลยว่าลูกค้าต้องการอะไร ถ้าทำได้ เราทำให้ วิธีนี้เลยทำให้เขารู้สึกคุยงานกับเราได้ง่ายขึ้น เข้าถึงตัวได้ง่ายกว่า
Q : ก่อนจะมาทำน้ำมันพืช คุณทำธุรกิจอะไรมาก่อน
นอกจากทำสินค้า FMCG แล้ว เรามีอีกบริษัท คือ เตมียเวส กรุ๊ป โดยผมเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาเองอีกเช่นกัน เราทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นลักษณะการให้เช่า อย่างบ้าน เราก็ให้เช่า ไม่ได้สร้างขาย และก็ธุรกิจโรงงานผลิตพลาสติก ซึ่งขวดใส่น้ำมันเราก็ทำป้อนให้กับแบรนด์ตัวเอง และขายเม็ดพลาสติกให้คนอื่นด้วย
Q : นอกจากตลาดในประเทศ มีวางแผนอะไรในตลาดต่างประเทศไว้บ้าง
ตอนนี้เรามีทำตลาดที่ประเทศแถบเอเชียและกลุ่ม CLMV อาทิ เกาหลี, ออสเตรเลีย, พม่า, ลาว, กัมพูชา ในฝั่งยุโรป ก็มีเนเธอร์แลนด์, สวิตเซอร์แลรนด์, ฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมัน เป็นต้น นอกจากที่กล่าวมาแล้วเรายังวางแผนที่จะตั้งบริษัทในยุโรปด้วย เพื่อการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดได้อย่างทันท่วงที เหมือนกับที่เราทำอยู่ในไทย ตอนนี้มูลค่าตลาดน้ำมันพืชยุโรปอยู่ที่ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เราขอแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก็พอใจแล้ว
Q : จริงๆ การที่คุณทำธุรกิจ ครอบครัวได้มีส่วนช่วยอะไรบ้างไหม
จริงๆ แล้ว ทั้งสองบริษัท คือ สวีท มีท หรือ เตมียเวส กรุ๊ป ผมเป็นคนก่อตั้งขึ้นมากับมือด้วยตัวเองเลย หลายคนอาจมองว่าเป็นธุรกิจของครอบครัวหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย คนส่วนใหญ่ในตระกูลจะรับราชการมากกว่า ผมแทบจะเป็นลูกหลานเพียงไม่กี่คนที่แยกตัวออกมาทำธุรกิจเองด้วยซ้ำ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี