เบื้องหลังความสำเร็จ ฟาร์มวาซาบิแห่งแรกในยุโรป ขายดีติดลมบน กวาดรางวัลนับไม่ถ้วน  

TEXT: วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์

Main Idea

  • จากคำพูดบางคำ นำไปสู่การค้นคว้าและศึกษา พลิกฟาร์มผักหันปลูกพืชมูลค่าสูง

 

  • เป็นที่มาของการก่อตั้งบริษัทเดอะ วาซาบิ คอมปานี ที่กลายเป็นบริษัทแรกของยุโรปที่บุกเบิกการปลูกวาซาบิ พืชจากญี่ปุ่น ขายดีติดลมบน กวาดรางวัลนับไม่ถ้วน

 

     หากพูดถึงรัฐแฮมเชียร์ ประเทศอังกฤษ สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่นึกถึงคือ “วอเตอร์เครส” (Watercress) หรือผักสลัดน้ำที่ปลูกกันเป็นล่ำเป็นสันมานานหลายทศวรรษ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจของคนที่นี่ จอห์น โอลด์ ก็เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ทำอาชีพเพาะปลูกวอเตอร์เครส เขาคงจะปลูกพืชชนิดนี้ต่อไปเหมือนเพื่อนเกษตรกรคนอื่น ๆ จนกระทั่งมีเชฟใหญ่คนหนึ่งจากร้านอาหารในเมืองมาเยี่ยมชมฟาร์มวอเตอร์เครสของจอนที่เมืองดอร์เซ็ต และได้พูดบางอย่างจนทำให้เขาเกิดความสนใจ นำไปสู่การค้นคว้าและศึกษาวิธีปลูกพืชชนิดใหม่ที่มีราคาสูงกว่า

     ส่งผลให้ต่อมา จอนได้ก่อตั้งบริษัทเดอะ วาซาบิ คอมปานี และกลายเป็นเกษตรกรรายแรกของยุโรปที่บุกเบิกการปลูกวาซาบิ พืชจากญี่ปุ่น นอกจากส่งขายตามร้านอาหารจนสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เขาทั้งยังต่อยอดพัฒนาไปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ วางจำหน่ายและกลายเป็นสินค้าขายดีอีกด้วย ความสำเร็จของจอนยังสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรรายอื่นดำเนินรอยทำฟาร์มปลูกวาซาบิตามเขาอีกด้วย

     ย้อนกลับไปเดือนพฤษภาคม ปี 2010 จอนเล่าว่าเมื่อเชฟคนที่กล่าวถึงเห็นต้นวอเตอร์เครสก็เอ่ยขึ้นมาลักษณะคล้ายต้นวาซาบิที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นพื้ชที่หายากและมีราคาแพง คำพูดของเชฟทำให้จอนสนใจใคร่รู้ เขาจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับพืชจากเอเชียชนิดนี้และพบว่าวิธีการปลูกวอเตอร์เครสและวาซาบิมีปัจจัยหลายอย่างที่คล้ายกัน แต่ก็มีคำเตือนมากมายที่ระบุถึงความยากลำบากในการปลูก และในยุโรปไม่มีใครเคยทำสำเร็จ

     โดยปกติ วาซาบิเป็นพืชที่ขึ้นเองและเติบโตตามธรรมชาติภายใต้ข้อจำกัดหลายอย่าง เป็นต้นว่า วาซาบิจะขึ้นตามพื้นที่ริมธารบนภูเขาภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ อุณหภูมิ ความชื้น และแร่ธาตุในดินที่เหมาะสม นอกจากนั้น ยังต้องมีน้ำแร่ที่อุดมด้วยสารอาหารไหลผ่านตลอด อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเติบโตของพืชชนิดนี้อยู่ระหว่าง 8-20 องศาเซลเซียส แม้จะเป็นพืชที่เปราะบางและปลูกยากแต่ที่ญี่ปุ่นก็มีการปลูกเชิงพาณิชย์ โดยใช้เวลาในการปลูกค่อนข้างนาน ราว 18 เดือนจึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้วาซาบิเป็นวัตถุดิบที่มีราคาแพง

     เนื่องจากฟาร์มของจอนรายล้อมด้วยแหล่งน้ำแร่จากใต้ดินที่ความลึก 40 เมตรและไหลผ่านแปลงผักตลอดเวลา เรียกว่าสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยอย่างมาก เขาตัดสินใจว่าจะลองเอาดีด้านวาซาบิ จึงลงทุนสั่งต้นวาซาบินำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรงจำนวน 400 ต้น จอนและทีมงานของเขาได้ทดลองปลูกวาซาบิ มีการลองผิดลองถูกและศึกษาข้อมูลอยู่เรื่อย ๆ จนในที่สุด ใช้เวลา 2 ปีเต็มก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

     จอนตั้งบริษัทเดอะ วาซาบิ คอมปานีและเริ่มจำหน่ายวาซาบิในปี 2012 สื่อต่าง ๆ ต่างรายงานเกี่ยวกับฟาร์มปลูกวาซาบิแห่งแรกของยุโรป แม้จะประสบความสำเร็จในการปลูกวาซาบิ แต่สิ่งที่ตามมาคือการทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผลผลิตจากฟาร์มเป็นที่ยอมรับ เนื่องจากเชฟโดยเฉพาะเชฟชาวญี่ปุ่นยังแคลงใจเกี่ยวกับคุณภาพของวาซาบิที่ปลูกในอังกฤษ จอนต้องตระเวนเข้าหาเชฟเพื่อนำเสนอผลผลิต และจัดกิจกรรมทัวร์ฟาร์มเพื่อชมการปลูก พร้อมทั้งให้ชิมวาซาบิ เขางัดทุกกลยุทธ์เพื่อทำให้ผลผลิตขายได้   

     ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่จอนไปเยือน Le Manoir Aux Quat’Saisons ร้านอาหาร 2 ดาวมิชลินของเชฟเรย์มอนด์ บลังค์ในเมืองอ็อกซ์ฟอร์ดเชียร์ เขาได้พบกับหัวหน้าเชฟที่เพิ่งเดินทางกลับจากญี่ปุ่น “หลังจากที่ผมนำวาซาบิจากฟาร์มให้หัวหน้าเชฟ เขาดีใจมาก ถึงขั้นคุกเข่าลงขอบคุณผม ตัวเชฟบลังค์ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเองก็ได้ลองชิมวาซาบิ เขาตื่นเต้นมาก” จอนเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตซึ่งทำให้เขามั่นใจว่าวาซาบิจากฟาร์มของเขาได้ขายได้ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น

     วาซาบิจากฟาร์มของจอนถูกส่งไปขายทั่งอังกฤษและประเทศยุโรปที่อยู่ใกล้อังกฤษเท่านั้น เหตุผลที่ไม่สามารถส่งไปขายไกลได้เพราะอาจส่งผลต่อคุณภาพของวาซาบิ ลูกค้าของที่ฟาร์มส่วนใหญ่เป็นเชฟชาวญี่ปุ่นที่ต้องการใช้วาซาบิสดเป็นส่วนประกอบในซูชิและซาชิมิ ส่วนเชฟเชื้อชาติอื่นจะนำวาซาบิไปผสมในเครื่องปรุงและซ้อสต่าง ๆ บ้างก็ใส่ในอาหารทั้งคาวและหวาน อย่างที่ร้านดาวมิชลินของเชฟบลังค์ วาซาบิถูกนำไปผสมในซ้อสเบอร์บล็องเพื่อเพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับซ้อส ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่น Kyoto Kitchen ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฟาร์มวาซาบิของจอน นำใบวาซาบิมาหมักกับเครื่องปรุงและใช้ห่อซูชิแทนสาหร่าย      

     หลังปลุกปั้นวาซาบิจนติดลมบน ไม่เพียงแต่ขายเหง้าวาซาบิสด จอนยังพัฒนาและแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ อาทิ วาซาบิผง มายองเนสรสวาซาบิ มัสตาร์ดผสมวาซาบิ มายองเนสยูสุ มัสตาร์ดยูสุ แยมสมยูสุ ซ้อสถั่วเหลืองออร์แกนิก และซ้อสถั่วเหลืองยูสุ น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว และซ้อสพอนสึ และล่าสุดที่เปิดตัวคือวอดก้าวาซาบิ สำหรับมายองเนสและมัสตาร์ดวาซาบินั้นถือเป็นผลิตภัณฑ์เดียวในโลกที่ผสมวาซาบิสดขูด ทั้งยังได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ดีเด่นมากมายนับไม่ถ้วน   

     แม้ในยุโรปจะมีฟาร์มวาซาบิอีก 2 แห่งที่ถือเป็นคู่แข่งคือที่ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ แต่อย่างไรแล้ว เดอะ วาซาบิ คอมปานีก็มีแต้มต่อเหนือกว่าในฐานะที่บุกเบิกตลาดก่อน นอกจากนั้น ยังสามารถชูจุดขายเกี่ยวกับพื้นที่ปลูกซึ่งมีน้ำแร่ธรรมชาติไหลผ่าน และสภาพใกล้เคียงกับฟาร์มวาซาบิในญี่ปุ่นมากที่สุด คุณภาพที่ได้จึงไม่เป็นที่กังขา

ที่มา : https://www.thewasabicompany.co.uk/our-story

https://www.tokyoweekender.com/2022/03/first-wasabi-europe/

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย