TEXT : กองบรรณาธิการ
Main Idea
5 คำสอนลูก จากยอดคุณพ่อนักธุรกิจ
- Mark Zuckerberg - จงออกไปวิ่งเล่น และรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี
- Bill Gates - จงเลือกทางเดินด้วยตัวเอง
- Jeff Bezos - จงภูมิใจในสิ่งที่เลือก ไม่ใช่แค่จากพรสวรรค์ที่มี
- Jack Ma - ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด
- Steve Jobs - จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ไม่มีใครเห็น
ว่ากันว่าการทำธุรกิจต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ จึงจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ต่างจากการเลี้ยงลูกก็เช่นกัน ลูกจะเติบโตเป็นคนดี เป็นคนเก่ง ดูแลตัวเอง รับผิดชอบต่อสังคมได้ ก็ย่อมต้องมาจากการอบรมเลี้ยงดูที่ดี วันนี้เลยจะชวนมาดูวิธีการเลี้ยงลูกและคำสอนลูกดีๆ มาดูกันว่านอกจากบทบาททางธุรกิจแล้ว ในชีวิตครอบครัวยอดคุณพ่อนักธุรกิจระดับโลกเหล่านี้เขาสอนลูกยังไงกัน ซึ่งจริงๆ แล้วหลายข้อ ก็เป็นแง่คิดดีๆ ที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานและชีวิตประจำวันได้ด้วย
Mark Zuckerberg
จงออกไปวิ่งเล่น และรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี
อันดับแรกขอยกคำสอนจากเจ้าพ่อแห่งวงการโซเชียลมีเดีย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอหนุ่มจาก Facebook มาเล่าให้ฟังกัน ซึ่งโดยปกติแล้วภาพนักธุรกิจระดับสูงที่เรามักเห็นกัน ก็คือ การไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเอง ทำงานดึกดื่น ไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว แต่สำหรับมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กแล้ว ไม่ใช่แบบนั้นเลย เขามักฉายภาพตัวเองทำกิจกรรม พักผ่อนอยู่กับครอบครัวอยู่เสมอ ว่ากันว่าในทุกปีมาร์กมักจะลาพักร้อนเพื่อไปฮันนีมูนกับภรรยาฉลองวันครบรอบแต่งงานของพวกเขาทุกปี นอกจากนี้ในช่วงที่ภรรยาของเขาได้คลอดลูกคนที่ 2 มาร์กได้ยื่นวันลากับเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นนานอีก 2 เดือนจากที่ลาไว้แล้ว เพื่อใช้เวลาดูแลภรรยาหลังคลอด และช่วยกันเลี้ยงลูกเลยทีเดียว
โดยสิ่งที่มาร์กและภรรยาให้สัมภาษณ์อยู่เสมอเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูก ก็คือ การรับผิดชอบต่อหน้าที่ทั้งตัวเอง ครอบครัว และสังคม โดยพวกเขาเริ่มปลูกฝังลูกให้คอยช่วยเหลืองานบ้านตั้งแต่อายุ 2 ขวบ นอกจากนี้พวกเขายังพยายามเลี้ยงลูกแบบวิถีธรรมชาติ โดยเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากสิ่งที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์เลี้ยง ท้องฟ้า สายลม แสงแดด ในตอนที่ลูกสาวคนเล็กเกิด มาร์กได้เขียนจดหมายบอกลูกว่าให้ใช้ชีวิตในวัยเด็กให้สนุกสนานและวิ่งเล่นอย่างเต็มที่ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ความสุขให้เต็มที่ เพราะทุกคนมีโอกาสในวัยเด็กแค่ครั้งเดียว ซึ่งนอกจากนี้เขาและภรรยายังมีแนวคิดไม่สปอยล์ลูก โดยตั้งใจไว้ว่าทรัพย์สินต่างๆ มูลค่ามหาศาลที่มีอยู่นั้นพวกเขาจะไม่ทุ่มเทให้กับลูกทั้งหมด หากอยากได้อะไรลูกจะต้องสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง เพื่อเติบโตเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพต่อไป
Bill Gates
จงเลือกทางเดินด้วยตัวเอง
มาถึงคุณพ่อยอดนักธุรกิจคนที่สอง ก็คือ Bill Gates เจ้าพ่อแห่ง Microsoft ซึ่งด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ไม่ได้น้อยไปกว่ามาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หรือมหาเศรษฐีคนอื่นๆ เลย แต่ถึงจะร่ำรวยมากเพียงใดก็ตาม บิล เกตส์ และภรรยาของเขาต่างมีแนวคิดที่ตรงกันว่าพวกเขาจะไม่สปอยล์ลูกๆ โดยได้ประกาศไว้เลยว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่มีนั้นพวกเขาจะบริจาคให้กับองค์กรการกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ ลูกๆ ของพวกเขาจะได้รับประโยชน์แค่เพียงบางส่วนเท่านั้น ฟังดูเหมือนจะใจร้าย แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะความหวังดีที่พวกเขาอยากให้ลูกเติบโต และได้เลือกทางเดินของตัวเองได้อย่างมีอิสระ โดยไม่ต้องอิงกับต้นทุนชีวิตหรือความมั่งคั่งที่มีอยู่จนไม่กล้าคิดกล้าทำอะไรของตัวเอง
โดยตั้งแต่เด็กๆ บิล เกตส์และภรรยามักแบ่งหน้าที่ให้ลูกๆ ทั้งหญิงและชายช่วยกันทำงานบ้าน โดยเฉพาะการล้างจานหลังรับประทานมือค่ำในทุกวัน นอกจากนี้ถึงจะเป็นบุคคลสำคัญของโลกในด้านเทคโนโลยี แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้ลูกใช้เทคโนโลยีอย่างอิสระ แต่มีการจำกัดเวลาการเล่นอย่างเหมาะสม เช่น ห้ามเล่นเวลากินข้าว โดยลูกๆ ของพวกเขาจะไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือก่อนอายุ 14 ปี เหมือนเช่นตัวเขาเองที่พ่อแม่ไม่ยอมซื้อคอมพิวเตอร์ให้จนกว่าอายุ 15 ปี และมักสอนให้เป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ และตนเอง
Jeff Bezos
จงภูมิใจในสิ่งที่เลือก ไม่ใช่แค่จากพรสวรรค์ที่มี
สำหรับยอดคุณพ่อนักธุรกิจคนที่สาม ก็คือ เจฟฟ์ เบโซส์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Amazon บริษัทค้าปลีกออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของโลก โดยแง่คิดที่เจฟฟ์มักพูดอยู่เสมอเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูกของเขา ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวทุกคนได้ ก็คือ จงภูมิใจกับสิ่งที่เลือก ไม่ใช่เพราะจากความสามารถหรือพรสวรรค์ที่มี โดยยกตัวอย่างว่าเหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเองเคยคิดอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ จึงไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน แต่กลับพบว่าเมื่อเรียนไปได้ครึ่งทาง เขาไม่ใช่คนฉลาดพอขนาดนั้น จึงได้เบนเข็มตัวเองออกมา จนชีวิตพลิกผันได้กลายมาเป็นเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซเหมือนทุกวันนี้
โดยเจฟฟ์ได้กล่าวไว้ว่า การได้เลือกทำในสิ่งที่รักหรือชอบ จะทำให้ชีวิตคุณมีความสุขในทุกวัน มากกว่าเลือกตามความสามารถหรือพรสวรรค์ที่มี แต่คุณไม่ได้สนใจหรืออยากทำมันเลย และสุดท้ายถึงแม้การเลือกนั้นจะผิด หรือไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยๆ ก็จงภูมิใจที่คุณได้เป็นคนเลือกเอง มากกว่าที่จะให้ใครหรือเหตุผลใดมาตัดสินเส้นทางชีวิตของคุณ
Jack Ma
ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด
มาถึงยอดคุณพ่อนักธุรกิจคนที่สี่ คราวนี้ขอข้ามมาฝั่งเอเชียกันบ้าง ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก แจ็ค หม่า เจ้าพ่อแห่งอาลีบาบา กรุ๊ป ซึ่งโดยสังคมวัฒนธรรมจีนส่วนใหญ่การพยายามเป็นที่หนึ่ง เป็นคนเก่งที่สุด หรือดีที่สุด เพื่อจะได้รับโอกาสดีๆ เป็นสิ่งที่มักหล่อหลอมอยู่ในค่านิยมของคนจีนอยู่แล้ว แต่สำหรับแจ็ค หม่า เขากลับไม่คิดเช่นนั้น เขามองว่าเด็กไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งที่สุด ขอแค่ไม่แย่ อยู่ในระดับกลางๆ ก็พอ เพื่อที่จะได้เอาเวลาที่เหลืออยู่ไปโฟกัสกับทักษะด้านอื่นบ้าง เพื่อให้เป็นคนรอบรู้และสามารถเอาตัวรอดได้
โดยนอกจากจะเป็นสิ่งที่เขานำมาบอกกับลูกอยู่เสมอแล้ว เขายังมองว่าแนวคิดแบบนี้จะช่วยให้ประเทศจีนเองพัฒนาไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิมด้วยหากสร้างคนตามแนวทางนี้ เพราะจะทำให้มีทักษะที่หลากหลาย มีภูมิต้านทานให้กับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบ อดทน และแข็งแกร่งมากขึ้น เหมือนที่ตัวเขาเองที่ครั้งหนึ่งก็เคยสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ถึง 3 ครั้ง แต่สุดท้ายก็สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการทำธุรกิจได้ โดยเขาเคยได้กล่าววลีอันเป็นที่ชื่นชมของหลายคนว่า “การทําการบ้านยังคงเป็นสิ่งสําคัญ แต่อย่าให้มันตัดสินชะตากรรมของลูก” เช่นเดียวกับประโยคที่เขาได้ฝากไว้กับคนหนุ่มสาวว่า “ไม่ต้องห่วงที่จะล้มลง จงลุกขึ้นและสนุกกับมัน คุณเพิ่งอายุ 25 ปี ต้องสนุกกับชีวิต”
Steve Jobs
จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ไม่มีใครเห็น
สำหรับยอดคุณพ่อนักธุรกิจคนสุดท้าย ก็คือ สตีฟ จอบส์ แม้จะมีข่าวออกมาที่ไม่ราบรื่นกับลูกสาวคนแรกของเขา ที่เกิดกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียน จนเคยมีการฟ้องร้องเรียกค่าเลี้ยงดู แต่สุดท้ายเรื่องราวก็จบลงด้วยดี พ่อลูกได้ปรับความเข้าใจกันก่อนที่สตีฟจะลาโลกไป แต่ยอดคุณพ่อนักธุรกิจคนนี้ ก็มีแง่คิดดีๆ ในการสอนลูกของเขาไว้น่าสนใจหลายข้อด้วยกัน
ข้อแรก คือ สตีฟ จอบส์ มักจะสอนลูกเขาเสมอว่าให้ทำสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ แม้จะไม่มีใครเห็น โดยเขาได้เรียนรู้สิ่งนี้มาจากพ่อของเขา ซึ่งเป็นช่างซ่อมโดยพ่อของเขาเคยยกตัวอย่างให้ฟังว่า หากเรากำลังทำตู้ลิ้นชักสวยๆ สักใบ เราต้องไม่ใช้ไม้อัดไว้ด้านหลังตู้ ซึ่งแม้จะเป็นส่วนที่ใครๆ มักมองไม่เห็น หรือไม่เห็นความจำเป็นสักเท่าไหร่ เพราะต้องวางไว้ชิดผนังอยู่แล้ว แต่หากอยากได้ตู้ลิ้นชักที่ดีสวยงามและออกมาสมบูรณ์ เราก็ต้องใช้ไม้แผ่นที่ดีและสวยงามไว้ด้านหลังตู้ด้วย ซึ่งเป็นแนวคิดให้เขานำมาใช้กับการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของ Apple อยู่เสมอ นอกจากนี้สตีฟ จอบส์ยังปลูกฝังให้ลูกของเขาเป็นนักอ่าน เพราะมองว่าเป็นสิ่งง่ายๆ ที่สร้างโอกาส และทำให้ได้เปรียบคนอื่นๆ อีกข้อ ก็คือ การเชื่อมั่นในตัวลูก โดยเขาเล่าว่าในวัยเด็กเขาก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่แม้จะฉลาดเฉลียว แต่ก็มีความเกเรและดื้อมาก จนเคยถูกส่งตัวกลับบ้านถึงสามครั้ง แต่แทนที่พ่อแม่จะลงโทษ พ่อแม่เขากลับปกป้อง และมองว่าการที่ทำให้เด็กสนใจเรียนไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของเด็ก แต่เป็นเพราะครูที่ไม่มีวิธีการสอนอย่างเหมาะสม เพราะพ่อและแม่เข้าใจในความพิเศษของเขา จนในที่สุดเมื่อเจอเข้ากับครูที่ทุ่มเทและพยายามทำความเข้าใจกับเด็กอย่างจริงจังสตีฟ ก็สามารถหันมาตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง จนกลายเป็นสตีฟ จอบส์อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ได้
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี