คนไทยต้องดื่มกาแฟแพงขึ้นอีก 3 ปี ตามราคากาแฟโลกปรับตัวสูงขึ้น

TEXT : กองบรรณาธิการ

Main Idea

  • จากวิกฤตสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้บราซิล และเวียดนาม แหล่งผลิตกาแฟพันธุ์โรบัสต้าและพันธุ์โรบัสต้ารายใหญ่สุดของโลก มีผลผลิตน้อยลง

 

  • ทำให้เกิดปัญหา Supply Shock ราคากาแฟอาราบิก้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 (YoY) และราคากาแฟโรบัสต้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.3 (YoY) นับเป็นราคาเฉลี่ยที่พุ่งสูงสุดในรอบ 11 ปี

 

  • ผลผลิตกาแฟในไทยไม่เพียงพอกับความต้องการ คนไทยเฉลี่ยดื่มกาแฟสูงขึ้น 300 แก้วต่อคนต่อปี

    คอกาแฟอาจไม่ปลื้มสิ่งนี้ มีการคาดการณ์ว่าราคากาแฟโลกขยับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องราว 3 ปี

     ลางบอกเหตุว่าคอกาแฟต้องดื่มกาแฟแพงขึ้นเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 เป็นต้นมา ราคากาแฟในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น จากสภาพอากาศที่แปรปรวน กดดันแหล่งผลิตกาแฟหลักของโลกอย่างบราซิลและเวียดนามได้รับความเสียหาย คาดว่า ราคากาแฟโลกอาจยืนสูงต่อเนื่องจนกว่าผลผลิตรอบใหม่ของบราซิลจะออกสู่ตลาดในราวปี 2568

ราคากาแฟตลาดโลกพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปี

     สภาพอากาศแปรปรวน กลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคากาแฟโลกพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะบราซิล ผู้ผลิตกาแฟพันธุ์อาราบิก้ารายใหญ่สุดของโลกได้ประสบภาวะภัยแล้งอย่างรุนแรงและภาวะน้ำค้างแข็งปกคลุมอย่างหนักแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งคาดว่า ผลผลิตกาแฟของบราซิลในปีนี้อาจลดลงราวร้อยละ 11 (YoY) และอาจมีสต๊อกลดลงต่ำสุดในรอบ 23 ปี

     ด้านเวียดนาม ผู้ผลิตกาแฟพันธุ์โรบัสต้ารายใหญ่สุดของโลกก็เผชิญภาวะน้ำท่วมจากพายุโซนร้อนอย่างรุนแรง กดดันผลผลิตและปริมาณสต๊อกกาแฟที่ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งด้วย

     จากการที่ทั้งบราซิลและเวียดนามต่างเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ ครองสัดส่วนครึ่งหนึ่งของปริมาณการส่งออกกาแฟทั้งโลก ทำให้ปัญหา Supply Shock ที่เกิดขึ้นในผู้เล่นหลักมีอิทธิพลดันราคากาแฟในตลาดโลกให้พุ่งขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ราคากาแฟอาราบิก้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.3 (YoY) และราคากาแฟโรบัสต้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.3 (YoY) นับเป็นราคาเฉลี่ยที่พุ่งสูงสุดในรอบ 11 ปี

     นอกจากนี้ ประเทศผู้ผลิตกาแฟอื่นๆ ก็เผชิญความเสี่ยงของสภาพภูมิอากาศแปรปรวนที่จะกดดันต่อผลผลิตกาแฟในปีนี้เช่นกัน เช่น ฮอนดูรัส กัวเตมาลา และนิการากัว ทำให้สต๊อกกาแฟลดลง ส่วนคอสตาริกา ได้มีสัญญาณความเสี่ยงต่อผลผลิตกาแฟที่จะลดลง  และยูกันดา เผชิญความแห้งแล้ง ทำให้ผลผลิตกาแฟโรบัสต้าลดลงอย่างมาก

คนไทยดื่มกาแฟเพิ่มขึ้น 300 แก้วต่อคนต่อปี

     ขณะเดียวกัน ไทยยังต้องอาศัยนำเข้าเมล็ดกาแฟเป็นหลัก เพราะผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ  คือ ผลิตได้เพียงร้อยละ 25 ของความต้องการในปรเทศ  คนไทยดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% ต่อปี หรือดื่ม 300 แก้วต่อคนต่อปีหรือ 1.18 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แต่ยังถือว่าต่ำกว่าผู้บริโภคในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นดื่ม 400 แก้วต่อคนต่อปีหรือ 3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และยุโรปดื่ม 500 แก้วต่อคนต่อปีหรือ 4-5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

     โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ไทยมีปริมาณการนำเข้ากาแฟเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3 (YoY) และต้องเผชิญราคากาแฟนำเข้าที่สูงขึ้นราวร้อยละ 30.6 (YoY) สำหรับทั้งปี 2565 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการนำเข้ากาแฟของไทยจะอยู่ที่ 163 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวประมาณร้อยละ 27 จากปีก่อน 

ผู้ประกอบการแปรรูปและร้านกาแฟต้องเผชิญต้นทุนสูงขึ้น

     ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลผลิตกาแฟโลกอาจอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องราว 3 ปีจากนี้ จนกว่าผลผลิตกาแฟรอบใหม่  ของบราซิลจะออกสู่ตลาดในราวปี 2568 เพื่อชดเชยผลผลิตที่เสียหายเดิม ประกอบกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันผลผลิตกาแฟ และดันราคากาแฟโลกให้ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่อไทยที่เป็นผู้นำเข้ากาแฟ ยิ่งในช่วงที่เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ฯ โดยเฉพาะผู้ประกอบการแปรรูปและร้านกาแฟอาจต้องเผชิญต้นทุนเมล็ดที่สูงขึ้น แต่น่าจะยังไม่ขาดแคลนเมล็ดกาแฟเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในระยะสั้น เพราะบางส่วนอาจถูกชดเชยด้วยผลผลิตภายในประเทศที่กำลังเริ่มทยอยออกสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกับต้นทุนการผลิตอื่นๆ ของผู้ประกอบการ ทำให้ผู้บริโภคปลายทางอาจต้องจ่ายกาแฟต่อแก้วในราคาที่ปรับสูงขึ้นอีกในระยะข้างหน้า

เกษตรกรปลูกกาแฟอาจได้รับผลดี

     ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 คาดว่า ราคากาแฟโรบัสต้าและอาราบิก้าที่เกษตรกรขายได้น่าจะอยู่ที่ราว 82 และ 151 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ จากความต้องการที่มีรองรับในจังหวะที่ผลผลิตโลกยังคงตึงตัว

    ไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 คาดว่า ราคาน่าจะยืนสูงต่อเนื่องได้ โดยราคากาแฟโรบัสต้าและอาราบิก้าที่เกษตรกรขายได้น่าจะอยู่ที่ราว 80-82 และ 149-151 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ อย่างไรก็ดี คงเป็นราคาที่ย่อลงเล็กน้อยจากช่วงก่อนหน้า เนื่องจากปัจจัยฉุดด้านฤดูกาลของไทยที่จะมีผลผลิตกาแฟออกสู่ตลาดจำนวนมากคิดเป็นร้อยละ 80 ของปริมาณผลผลิตกาแฟทั้งฤดูกาล

     อย่างไรก็ตามปัจจุบันไทยมีศักยภาพในการผลิตเมล็ดกาแฟที่มาจากแหล่งเพาะปลูกเดียว (Single Origin) โดยเฉพาะในภาคเหนือที่เป็นสายพันธุ์อาราบิก้าที่มีชื่อเสียง เช่น กาแฟอมก๋อย จ.เชียงใหม่ กาแฟเวียงสา จ.น่าน โดยราคาอาราบิก้าเกรดคุณภาพมีราคาประมูลสูงสุดที่ 6,400 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่เกษตรกรในภาคใต้ ควรเน้นไปที่การปลูกกาแฟโรบัสต้าเกรดคุณภาพมากขึ้น เพื่อชดเชยผลผลิตโรบัสต้าเดิมที่ลดลงในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ กาแฟโรบัสต้าเกรดคุณภาพอย่างไฟน์โรบัสต้ามีราคาประมูลสูงสุดสุดถึง 20,000 บาทต่อกิโลกรัม

     ดังนั้นสำหรับโอกาสการส่งออกกาแฟไทย นับว่ามีความท้าทายต่อการแข่งขันในเชิงปริมาณ เนื่องจากไทยมีผลผลิตเพียงร้อยละ 0.2 ของผลผลิตกาแฟทั้งโลก ผนวกกับราคาส่งออกเมล็ดกาแฟไทยที่สูงกว่าเวียดนาม ด้วยต้นทุนการผลิตของไทยที่สูงกว่าและผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำกว่า ทำให้ไทยยากที่จะแข่งขันในการส่งออกเมล็ดกาแฟไปยังตลาดโลก

     ขณะที่การส่งออกผลิตภัณฑ์กาแฟ นับว่ากาแฟไทยยังเป็นที่ต้องการและยอมรับในตลาดโลก สะท้อนจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ไทยมีปริมาณส่งออกกาแฟสำเร็จรูป (3 in 1) ขยายตัวร้อยละ 8.1 (YoY)  ตามความต้องการที่มีรองรับ เนื่องจากผู้บริโภคมองหาทางเลือกเพื่อลดผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง (โรบัสต้าเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ทำกาแฟสำเร็จรูปจะมีราคาถูกกว่าอาราบิก้าที่เป็นวัตถุดิบหลักของกาแฟสด) ซึ่งจะเป็นโอกาสในการส่งออกกาแฟสำเร็จรูปของไทยในระยะต่อไปด้วย

ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

เจาะกระบวนท่าท้าดวล ส่ง “อบอวล” สู้ศึกตลาดยาดม ปรุงกลิ่นหอมแปลกใหม่ ไม่เหมือนใครจากมือแพทย์แผนไทยประยุกต์สุดล้ำ!

“อบอวล” แบรนด์ยาดมสุดชิค ที่กำเนิดจากความคิดของแพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่ ไม่ใช่แค่สดชื่น แต่ต้องถึงกับร้องว่า “มีกลิ่นนี้ด้วยหรือฟะ!” อะไรคือเบื้องหลังที่ทำให้ “อบอวล” ที่มีอายุกว่า 3 ปี โดดเด่นไม่แพ้ใคร..ลองไปกะเทาะดูเนื้อในของธุรกิจกัน

ทำไม Live Exchange จึงเป็นตลาดทุนที่ SME อยากโตต้องรู้จัก ฟัง ประพันธ์ เจริญประวัติ

พูดคุยกับบ "ประพันธ์ เจริญประวัติ" ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ MAI และ Live Exchange ที่จะบอกเล่าว่าทำไม การระดมทุนคือกลไกสำคัญที่จะพา SME ไปสู่ความสำเร็จ และ Live Exchange คือบันไดขั้นแรกที่ SME ทุกขนาดต้องรู้จัก

 The 3rd daughter วาดฝันให้เป็นจริง จากสติกเกอร์สู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ครองใจคนกว่า 10 ปี

ชวนไปดูเส้นทางการทำธุรกิจที่เริ่มต้นจากความหลงใหลในศิลปะจนพัฒนาแบรนด์ The 3rd daughter เข้าไปอยู่ในชีวิตของใครหลายคนผ่านสารพัดของกระจุกกระจิกที่แสนน่ารักมาได้มากกว่า 10 ปี! ของตาต้า-ลดาพร ทรัพย์ภคกุล