การผลิตสินค้ายุคนี้นอกจากจะคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลักแล้ว ยังต้องหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยล่าสุดทบวงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของไต้หวัน ได้ประกาศร่างระเบียบใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะห้ามผู้ขายสินค้าออนไลน์ใช้วัสดุ PVC มาทำการห่อสินค้าหรือพัสดุสำหรับจัดส่งให้ลูกค้า
นอกจากนี้ยังห้ามใช้กระดาษที่ย้อมสีมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ โดยต้องมีสัดส่วนของกระดาษรีไซเคิลในอัตรา 90% ขึ้นไป หรือหากเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติก ก็ต้องมีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิลในอัตราส่วนที่ไม่น้อยกว่า 25% โดยคาดว่า คำสังดังกล่าวจะส่งผลต่อผู้ประกอบการในไต้หวันมากกว่า 46,000 ราย ซึ่งจะกำหนดใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป
สาเหตุที่ทางการไต้หวันได้มุ่งไปที่การค้าออนไลน์เนื่องจาก ตั้งแต่สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มูลค่าการค้าปลีกออนไลน์ของไต้หวันมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 262,545 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 494,845 ล้านบาท ในปี 2564
นอกจากตัวเลขมูลค่าการตลาดที่เติบโตแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้กิดขยะจำนวนมหาศาล โดยปี 2564 ที่ผ่านมา มีการจัดส่งพัสดุสินค้าที่ซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่า 220 ล้านชิ้น รวมทั้งก่อให้เกิดขยะที่มาจากบรรจุภัณฑ์ของสินค้าออนไลน์มากถึงประมาณ 50,000 เมตริกตัน
ทั้งนี้ ทบวงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไต้หวันคาดว่า มาตรการที่นำมาใช้ในครั้งนี้ จะช่วยลดการใช้วัสดุสำหรับทำบรรจุภัณฑ์อย่างสิ้นเปลือง ได้ตั้งแต่จากต้นทาง เพื่อลดมลภาวะที่จะมีต่อสภาพแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์ไปในตัว รวมทั้งยังช่วยลดภาระในการจัดการขยะของผู้บริโภคไปพร้อมกันด้วย ซึ่งมาตรการนี้จะบังคับใช้สำหรับการซื้อขายออนไลน์ในแบบ B2C ส่วนการซื้อขาย แบบ C2C ยังไม่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดระเบียบสำหรับผู้ประกอบการที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 50 ล้านเหรียญไต้หวัน ขึ้นไป ซึ่งมีอยู่จำนวน 260 ราย ในฐานข้อมูลของทบวงอนุรักษ์ฯ โดยกำหนดให้สินค้าที่มีน้ำหนัก 250 กรัมขึ้นไป แต่ไม่ถึง 1 กิโลกรัม น้ำหนักของบรรจุภัณฑ์จะต้องมีสัดส่วนไม่เกิน 40% ของน้ำหนักสินค้า หากสินค้าน้ำหนักเกิน 1 กิโลกรัมแต่ไม่ถึง 3 กิโลกรัม น้ำหนักของบรรจุภัณฑ์จะต้องน้อยกว่า 30% แต่หากสินค้าน้ำหนักมากกว่า 3 กิโลกรัม น้ำหนักของบรรจุภัณฑ์จะต้องไม่เกิน 15%
ส่วนผู้ประกอบการขนาดใญ่ที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 150 ล้านเหรียญไต้หวันขึ้นไป ซึ่งมีอยู่ประมาณ 70 ราย นอกจากจะต้องปฏิบัติตามระเบียบ ข้างต้นทั้งหมดแล้ว ยังต้องวางแผนลดน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์ให้มากกว่า 35% ภายในปี 2569 โดยที่สัดส่วนการใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษหรือพลาสติกแบบหมุนเวียนในสัดส่วนมากกว่า 15% ภายในปี 2569 ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในไต้หวันมีความพยายามในการรณรงค์ให้ลดปริมาณบรรจุภัณฑ์สำหรับการซื้อขายสินค้าออนไลน์ มาตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ ยักษ์ใหญ่ของไต้หวัน เช่น momo, PChome และ ETmall เป็นต้น รวมทั้งได้มีการเจรจากับสมาคมผู้ค้าปลีก แบบไร้หน้าร้านของไต้หวันมาโดยตลอด ส่งผลให้น้ำหนักเฉลี่ยของบรรจุภัณฑ์ลดลงเรื่อยๆ จาก 0.322 กก. ใน ปี 2562 เหลือเพียง 0.24 กก. ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งทบวงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2573 จะลดปริมาณน้ำหนักเฉลี่ยของบรรจุภัณฑ์ลงให้เหลือ 0.161 กก. หรือลดลง 50% จากปี 2562 ด้วย
นับวันเทรนด์ธุรกิจรักษ์โลกเริ่มมีความจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการที่เตรียมพร้อมทางด้านนี้ก่อนก็อาจเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจ
ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี