รู้จักนายกหญิงคนแรก แห่งสมาคมกาแฟพิเศษไทย กับภารกิจทำให้กาแฟไทยโตแบบยั่งยืน

TEXT : Neung Cch.

PHOTO : สายลม นัยยะกุล

 

     “อย่าขายกาแฟไทยด้วยความคิดที่ว่าช่วยให้เกษตรกรไม่ยากจน ไม่ควรเอาความสงสารมาเป็นจุดขาย กาแฟไทยต้องขายด้วยคุณภาพถึงจะโตแบบยั่งยืน”

     นี่คือ หนึ่งในวิสัยทัศน์ของ นุ่น-ณัฏฐ์รดา คุณะวิวัฒนานนท์  ที่ได้รับคะแนนเสียงโหวตอย่างท่วมท้นให้มารับตำแหน่งนายกหญิงคนแรกแห่งสมาคมกาแฟพิเศษไทย พร้อมกับภารกิจที่เธอหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าในวาระของเธอนั้นต้องการจะทำให้กาแฟพิเศษไทยไม่ใช่แค่เติบโตขึ้นเท่านั้นแต่จะต้องเติบโตแบบยั่งยืนและสง่างาม

คำว่า “ทำไม” จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

     ใครจะคิดว่าเบื้องหลังของการก้าวมารับตำแหน่งนายกสมาคมกาแฟพิเศษไทยของหญิงสาววัย 33 ปีคนนี้จะมีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า “ทำไม”

     แม้ว่าเธอจะชอบดื่มกาแฟตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่มีแม่ทำหน้าที่บาริสต้าคอยชงกาแฟสำเร็จรูปให้ดื่ม แต่เหตุผลที่ชอบดื่มกาแฟในตอนนั้นเพียงแค่รู้สึกว่าการได้ดื่มกาแฟนั้นทำให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่

     ต่อมาเมื่อเธอได้มีโอกาสได้ลองดื่มกาแฟยี่ห้ออื่นนอกบ้านแล้วปรากฏกว่ารสชาติต่างจากที่เคยดื่มทุกวัน ทำให้เธอเริ่มเกิดคำถาม ว่าทำไมมันถึงต่างกัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ ณัฏฐ์รดา เริ่มสนใจกาแฟมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ไหนเปิดสอนกาแฟเธอไปลงเรียนทั้งหมดไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ

     “ไม่ได้คิดจะเปิดร้านกาแฟ ตอนนั้นเป็นแค่ผู้บริโภคคนหนึ่งอยากจะรู้ลึกเรื่องกาแฟ”

     ความรู้ด้านกาแฟจากศูนย์ก็ค่อยๆ สะสมจนในช่วงวัย 23-24 ปีที่เธอกำลังจะตัดสินใจลาออกจากงานเพราะรู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่อยากคือทำงานในบริษัทต่างชาติที่มาพร้อมกับรายได้ที่ดี แต่นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วเธออยากหางานที่มีคุณค่าให้กับตัวเองอีกด้วย

     “มีโอกาสได้ไปไร่กาแฟพี่วัล ไปคลุกคลีกับชาวบ้าน รู้จักกับการเก็บกาแฟ ยิ่งชอบ รู้สึกว่ากาแฟตอนดีที่สุดคือตอนเป็นต้นไม้ ทุกอย่างคือแค่การรักษาคุณภาพเดิมให้ดีที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคกินแล้วรู้สึกว่าพิเศษมาจากต้นทาง การไปครั้งนี้เหมือนจุดประกายไฟในการทำงานจนกระทั่งได้ไปคลุกคลีอยู่พี่ๆ ที่ทำงานในสมาคมกาแฟมากขึ้น ได้เป็นอาสาช่วยงาน จนกระทั่งมารับตำแหน่งนายกฯ”

ภารกิจพัฒนากาแฟพิเศษไทยให้ยั่งยืน

     ยิ่งได้สัมผัสในวงการกาแฟพิเศษ และเสริมความรู้ทางด้านกาแฟ ที่มีตำแหน่งด้านกาแฟการันตีความสามารถมากมาย อาทิ Q Arabica Grader, COE Sensory Evaluation Training และ Thai Specialty Coffee Awards Sensory Judge 2020 – 2022 แต่เมื่อมารับตำแหน่งนายกฯ เธอมองความว่าความรู้เหล่านี้อาจไม่พอ จึงลงทุนไปเรียนมาร์เก็ตติ้งเพิ่มเพื่อหวังมาโปรโมทกาแฟพิเศษไทยที่มีคุณภาพดีอยู่แล้วให้เป็นที่รู้จักในตลาดโลกมากขึ้น  

     “อย่าขายกาแฟไทยด้วยความคิดที่ว่าช่วยให้เกษตรกรไม่ยากจน อย่าขายความสงสาร กาแฟไทยต้องขายด้วยคุณภาพ ถ้าเกษตรกรทำกาแฟได้ดีมีคุณภาพเขาได้ผลตอบแทนแน่นอน การที่เกษตรกรมีวิถีชีวิตดีขึ้นเป็นผลพลอยได้ ถ้าจะให้วงกากาแฟยั่งยืนต้องโฟกัสที่คุณภาพเท่านั้น เราจะไม่อาศัยมาร์เก็ตติ้งแบบฉาบฉวย”

     จากโจทย์ด้านบนสิ่งที่ทางสมาคมฯ ต้องทำคือจะทำอย่างไรให้สามารถรักษาคุณภาพกาแฟให้ได้ดี และปริมาณที่มากพอได้ตลอดทั้งห่วงโซ่ โดยณัฏฐ์รดา ได้วางแนวทางในการพัฒนาสมาคมฯ ไว้สามประเด็นหลักดังนี้

     1. การ reform ภายในสมาคมฯ ให้เข้มแข็งทำงานให้เป็นระบบ

     2. สานต่อเจตนารมณ์จากผู้ก่อตั้งที่จะพัฒนากาแฟพิเศษไทย ให้เกษตรกรรายเล็ก รายใหญ่ สามารถทำกาแฟพิศษที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น มีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้น และสิ่งที่เธอจะเพิ่มคือต้องสามารถทำซ้ำได้ คือให้มีกาแฟคุณพาพสม่ำเสมอออกมาในปริมาณที่มากพอเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

     3. ทำให้อุตสาหกรรมมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง

     “กาแฟพิเศษค่อนข้างโตเร็วด้วยซ้ำ แม้ช่วงโควิดก็ยังโตๆ ซึ่งการเติบโตของกาแฟมันไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ที่โตตามสถานการณ์ เช่น แอลกอฮฮล์ กาแฟพิเศษมันโตไปในทิศทางที่ดีและเร็ว แต่ต้องระวังเรื่องข้อมูลที่ถูกต้อง เพราะปัจจุบันมีสถาบันที่สอนกาแฟเกิดขึ้นมากมายแล้วก็มีหลายคนที่ได้ไปเรียนซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่อยากให้ระวังก่อนที่จะแชร์ข้อมูลออกไป เพราะอาจทำให้ผู้บริโภคสับสนได้ และขาดความเชื่อมั่นในวงการกาแฟพิเศษ”

     ผ่านไปกว่า 300 กว่าวันในบทบาทของนายกสมาคมกาแฟพิเศษไทย เธอบอกว่าไม่ได้หนักใจอะไร เพราะกาแฟพิเศไทยก็มีคุณภาพดีอยู่แล้ว เพียงแต่ทางสมาคมฯ ก็ต้องช่วยผลักดันนำกาแฟเหล่านี้ไปเผยแพร่ให้คนรู้จักมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

     “งาน Thai Specialty Coffee Awards ที่ผ่านมาก็มีผู้ส่งประกวดกาแฟเยอะขึ้น มีผลลัพธ์ที่ออกมาดี เกษตรกรทำกาแฟได้ดี ราคาสูงมาก 33,500 กิโลกรัม แพงกว่าเอธิโอเปียอีก เป็นสถิติสูงที่สุดที่เคยมีมาทั้งในแง่จำนวนคนส่งประกวดและราคา หรืองาน Thailand coffee fest 2022 ก็มีคนมางานแตะหลักแสน งานก็ดูเป็นนานาชาติขึ้น และปีหน้าถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปบุกงานกาแฟที่อเมริกา”

อนาคตวงการกาแฟพิเศษ

     “ปัจจุบันต่อให้เราไม่ชงกาแฟกินเองที่บ้าน อย่างน้อยทุกคนต้องมีคนรู้จักสักหนึ่งคนที่มีเครื่องชงทำกาแฟกินเองที่บ้าน” ประโยคที่ ณัฏฐ์รดา สะท้อนให้เห็นภาพว่าวงการธุรกิจกาแฟพิเศษของไทยที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเพราะกาแฟได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยไปแล้ว

     “มันจะโตไปเรื่อยๆ มีอินโนเวชั่นใหม่ๆ ทั้งในแง่ของการผลิต การชง แม้กระทั่งการบริโภค มีของที่แปลกมากขึ้น โควิดที่ผ่านมาทำให้คนชงกาแฟกินเองที่บ้านมีความอยากทำกาแฟดื่มเองมากขึ้น บาร์ทำกำแฟของคนชงกินเองที่บ้านจะมีอุปกรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ มีเมล็ดกาแฟใหม่ๆ อุปกรณ์ใหม่ๆ ให้เขาได้ลองมากขึ้น คนกินเปิดประสบการณ์พิเศษ ทำให้อุตสาหกรรมกาแฟพิเศษไปได้ไกลกว่านี้ แม้วันนี้คนไทยดื่มกาแฟเยอะขึ้นแต่ยังน้อยเมื่อเทียบกับต่างชาติแทบจะดื่มกาแฟแทนน้ำ แต่คนไทยเฉลี่ยคนหนึ่งดื่มประมาณหนึ่งแก้วต่อวันทำให้อนาคตยังมีพื้นที่โตไปได้อีกในไทย” ณัฏฐ์รดา กล่าวทิ้งท้าย

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย