TEXT : กองบรรณาธิการ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าจากค่านิยมของคนรุ่นใหม่ที่มักอยู่เป็นโสดมากขึ้น หรือถึงแม้แต่งงานไปแล้ว แต่ก็ไม่อยากมีลูก เพราะยังรักในชีวิตอิสระ หรือบางคนถึงอยากมี แต่ก็ติดปัญหามีบุตรยาก สิ่งที่จะมาช่วยทดแทนให้คลายเหงาได้บ้าง ก็คือ การหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาอยู่เป็นเพื่อน ซึ่งเมื่อได้ลองรักไปแล้ว ย่อมเกิดความผูกผันอยากดูแลให้ดีที่สุด บวกกับยังไม่มีภาระมากมายให้ต้องรับผิดชอบ จึงสามารถทุ่มเทได้อย่างเต็มที่ ไม่ต่างจากการเลี้ยงลูกดีๆ คนหนึ่งนั่นเอง ตลาดมามี้หรือคุณแม่สายเปย์เหล่านั้น จึงกลายเป็นอีกหนึ่งตลาดที่หลายแบรนด์หรือหลายธุรกิจต่างหันมาให้ความสนใจ และพยายามหาวิธีโกยเงินจากกระเป๋าคุณแม่ๆ เหล่านั้นให้ได้
ทำไมถึงต้องเป็นคุณแม่สายเปย์
ในอดีตที่ผ่านมาส่วนใหญ่ลักษณะการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของเรา ก็คือ เลี้ยงเพื่อคลายเหงา เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน หรือเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านบ้าง ลักษณะของผู้เลี้ยงจึงเป็นเหมือน “Pet Owner” แต่ปัจจุบันจากบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป สัตว์เลี้ยงมีความสำคัญกับเรามากขึ้น จากการเลี้ยงเพื่อเป็นเจ้าของจึงเป็นเหมือนการดูแลเลี้ยงดูสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวมากกว่า ผู้เลี้ยงจึงเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ปกครองหรือที่เรียกว่า “Pet Parents” ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Pet Humanization” หรือ พฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่ผู้เลี้ยงไม่ได้รู้สึกแค่เป็นเจ้าของ แต่เป็นเหมือนพ่อแม่ของสัตว์เลี้ยงมากกว่า
โดย Morgan Stanley Research ได้ให้นิยามพฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกนั้นว่า “Petriarchy” หรือที่เราชอบเรียกกันว่า ทาสแมว ทาสหมา และจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นดังกล่าว จึงทำให้เหล่าผู้เลี้ยงอยากดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของพวกเขาที่พร้อมทุ่มเททุกอย่างให้ ทั้งเงินและการดูแลจนแทบไม่แตกต่างจากมนุษย์เลย ตั้งแต่อาหารการกิน เสื้อผ้า สุขภาพ บ้านที่อยู่อาศัย ของเล่น ไปจนถึงบริการสุดพิเศษต่างๆ เท่าที่จะหาให้ได้
เป็นมามี้สายเปย์ต้องจ่ายปีละเท่าไหร่
เมื่อสถาปนาตัวเองเป็นแม่แล้ว ก็ย่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อลูก ดังนั้นคติประจำใจที่เหล่ามามี้ทาสหมา ทาสแมวทั้งหลายยืดถือไว้ ก็คือ “ตัวเองอดได้ แต่ลูกห้ามอด” ดังนั้นในแต่ละเดือนค่าใช้จ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงไม่ว่าสุนัข หรือแมวจึงไม่น้อยเลย
โดยจากการให้ข้อมูลของ RS Group ซึ่งปัจจุบันได้หันมาจับธุรกิจสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นด้วย ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ Lifemate เพื่อจำหน่ายอาหารพรีเมียมสำหรับสุนัขและแมว ได้เปิดเผยว่าค่าเฉลี่ยค่าใช้จ่ายพื้นฐานสำหรับการเลี้ยงสุนัขและแมวในแต่ละปีที่มามี้หรือคุณแม่สายเปย์ต้องจ่ายจะอยู่ที่ราวปีละ 14,200 บาท หรือเฉลี่ยเป็นเดือน คือ 1,183 บาท มีรายละเอียดดังนี้
- ค่าใช้จ่ายสำหรับสุนัข / ปี
- อาหารเม็ด 4,800 บาท
- อาหารเปียก 3,000 บาท
- ขนม 1,800 บาท
- วัคซีน 1,000 บาท
- ของเล่น อุปกรณ์อื่นๆ 2,400 บาท
- วิตามิน 1,200 บาท
รวม = 14,200 บาท / ปี
- ค่าใช้จ่ายสำหรับแมว / เดือน
- อาหารเม็ด 4,200 บาท
- อาหารเปียก 1,800 บาท
- ขนม 1,200 บาท
- ทราย 2,400 บาท
- วัคซีน 1,000 บาท
- ของเล่น อุปกรณ์อื่นๆ 2,400 บาท
- วิตามิน 1,200 บาท
รวม = 14,200 บาท / ปี
โดยในความเป็นจริงหากรวมสินค้าและบริการอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า, เครื่องแต่งกาย, อาบน้ำ แต่งขน, แก็ตเจ็ตต่างๆ หรืออุปกรณ์พิเศษ เช่น ห้องน้ำแมวอัตโนมัติ ก็ยิ่งทำให้รายจ่ายบวกเพิ่มขึ้นไปอีก ดีไม่ดีอาจมากถึง 2 – 3 เท่าก็ได้ ซึ่งจากการใช้จ่ายที่มากขึ้นนั่นเองบวกกับจำนวนการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ปัจจุบันมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในเมืองไทยปี 2565 โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 4.18 หมื่นล้านบาท โดยเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ละประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์
ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นได้ชัดว่าตลาดสัตว์เลี้ยงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน ก็คือ การจัดงาน PET Expo Thailand 2022 ณ ไบเทค บางนา ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งต้องขยายเพิ่มพื้นที่การจัดจาก 1 ฮอลล์เพิ่มเป็น 2 ฮอลล์ เพื่อรองรับจำนวนผู้ร่วมออกบูธที่เพิ่มจาก 200 บริษัทในปีที่แล้ว เป็น 300 บริษัทในปีนี้นั่นเอง
อยากมัดใจมามี้ต้องทำยังไง
เมื่อคุณแม่พร้อมจ่าย การจะมัดใจคุณแม่ได้ จากตัวอย่างที่เห็นจากหลายๆ ธุรกิจทำกัน สามารถถอดออกมาเป็นกลยุทธ์มัดใจได้ดังนี้
- มอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ
เช่น บริการนั่งเครื่องไปกับสัตว์เลี้ยงแสนรัก ไปกับแคมเปญ “เที่ยวบินนี้พาน้องเที่ยว” หรือ Pet On Board ซึ่งจัดขึ้นมาโดยสายการบินนกแอร์ เพื่อให้บรรดามามี้ได้พาน้องหมา น้องแมว สัตว์เลี้ยงแสนรักนั่งโดยสารเคียงข้างเพื่อบินไปเที่ยวด้วยกัน โดยเปิดให้บริการในเที่ยวบินกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ – ภูเก็ต
- ช่วยแก้ปัญหา
เช่น การคิดเสื้อผ้าติดพัดลมปรับอากาศ ที่คิดขึ้นมาโดย Sweet Mommy แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับแม่และเด็กที่ต่อมาภายหลังเริ่มหันมารุกตลาดสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยจากปัญหาคลื่นความร้อนที่ยาวนานขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนที่ประเทศญี่ปุ่น จึงได้ปิ๊งไอเดียผลิตเสื้อผ้าติดพัดลมพกพา เพื่อช่วยคลายร้อนให้สัตว์เลี้ยงได้มากขึ้น ว่ากันว่าหลังจากผลิตออกมานำหน่ายในเดือนกรกฎาคม มีผู้สนใจซื้อไปมากกว่า 100 ชุด สนนราคาอยู่ที่ชุดละ 9,900 เยน หรือประมาณ 3,863 บาทไทย
- เพิ่มความสะดวกสบาย
เช่น การเปิดตัวร้าน “Pet Us” จำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจรสำหรับสัตว์เลี้ยงของ Lotus เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่เป็นมามี้ทั้งหลายในการได้ดูแลน้องหมา น้องแมว เพื่อพามาหาหมอ ฉีดวัคซีน อาบน้ำตัดแต่งขน ขณะเดียวกันก็สามารถเข้าไปช้อปปิ้งซื้อของเข้าบ้าน ขณะที่ลูกๆ กำลังรับบริการอยู่ก็ได้
- คุณภาพต้องมาเป็นที่หนึ่ง ราคาไม่เกี่ยง
เช่น ปัจจุบันมีอาหารสุนัขและแมวทางเลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสูตรออร์แกนิค หรือช่วยควบคุมน้ำหนัก ซึ่งราคาต่อกิโลกรัมหนึ่งนั้นไม่ได้ถูกๆ เลย ยกตัวอย่างเช่น ยี่ห้อ Anf อาหารเม็ดสูตรออร์แกนิค 6 Free ขนาด 6 ก.ก ราคา 2,500 บาท, ยี่ห้อ Instinct (Raw Boost Healthy Weight) สำหรับสุนัขควบคุมน้ำหนัก สูตรไก่ ขนาด 9 ก.ก ราคาอยู่ที่ 7,500 บาท หรืออาหารแมวเกรด Holistic ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มให้ร่างกาย ปลอดสารเคมี เช่น ยี่ห้อ Canagan ขนาด 8 ก.ก. ราคา 3,600 บาท
- ให้สิทธิพิเศษเหมือนกับคน
เช่น ปัจจุบันที่พักหรือคอนโดมิเนียมหลายแห่งได้คำนึงถึงการออกแบบเพื่อใช้ชีวิรร่วมกันระหว่างคนและสัตว์เลี้ยงด้วย ยกตัวอย่างเช่น โครงการ Whizdom The Forestias – Petopia ที่ตัวโครงการจะมีสนามหญ้ายาวกว่า 150 เมตร เพื่อการวิ่งเล่นพักผ่อน รวมถึงมีการติดตั้งประตู 2 ชั้นเพื่อความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง หรืออย่าง Major Petscape ที่จะมีการจัดพื้นที่ Pet Zone เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้วิ่งเล่นได้ ลดความเครียดจากการอยู่ในพื้นที่จำกัด, การออกแบบราวกันตกบริเวณระเบียง เพื่อความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป ก็คือ มามี้ หรือคุณแม่สายเปย์ เพื่อน้องหมา น้องแมวนั้น พร้อมจะซัพพอตทุกอย่าง เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบรรดาลูกๆ ขอเพียงสินค้าหรือบริการเหล่านั้นช่วยตอบโจทย์ หรือแก้ไขปัญหาให้ได้ รับรองว่าคุณสามารถเรียกเงินจากกระเป๋าแม่ๆ เหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
ที่มา : https://www.brandage.com/article/29294/Pet-Humanization-
https://www.prachachat.net/breaking-news/news-916032
https://www.matichon.co.th/bullet-news-today/news_3323399
https://www.tnnthailand.com/news/wealth/120923/
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี