TEXT : จีราวัฒน์ คงแก้ว
มีท อวตาร (Meat Avatar) ผลิตภัณฑ์เนื้อจำแลงที่ผลิตจากพืช (Plant-based Meat) ได้ถือกำเนิดขึ้นในตลาดเมื่อ 3 ปีก่อน และประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งยังสร้างภาพจำใหม่ให้เมนูสุดคุ้นเคย อย่าง หมูกรอบ หมูสับ และไข่ดาว ในรูปของเนื้อจำแลงที่เหมือนเนื้อจริงทั้งหน้าตาและรสชาติ วันนี้พวกเขากลับมาในซีซันใหม่ แตกไลน์สู่ “มาทาน” (Matan) อาหารแพลนต์เบสทานง่าย ประเดิมด้วย น้ำสลัด และไอศกรีม รับตลาดปลอดเนื้อสัตว์ของเมืองไทยที่กำลังเติบโตคึกคัก
เนื้อจำแลงแบรนด์แรกของไทย
มีท อวตาร (Meat Avatar) เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2562 ในฐานะผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อที่ผลิตจากพืช (Plant-based Meat) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทย โดย วิภู เลิศสุรพิบูล ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มีท อวตาร จำกัด ย้อนเล่าให้ฟังว่า ในวันนั้นยังไม่มีผู้ผลิตไทยรายใดทำผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสสัญชาติไทยออกมาเลย การถือกำเนิดขึ้นของมีท อวตาร จึงสร้างความฮือฮาให้กับตลาดเป็นอย่างมาก
“เราเป็นแบรนด์แรกที่เข้ามาในตลาด จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็น่าดีใจที่ตลาดแพลนต์เบสประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยมีแบรนด์เข้ามาน่าจะเกือบ 10 แบรนด์แล้ว และเจ้าใหญ่ๆ ก็ลงมาเล่นด้วย นั่นยิ่งทำให้เรามั่นใจเข้าไปใหญ่ว่า มาถูกทางแล้ว” เขาบอกความเชื่อมั่น
พัฒนาการและการเติบโตของ มีท อวตาร เป็นไปตามการเติบโตของตลาดแพลนต์เบสที่ยังคงขยายตัวและได้รับความสนใจจากคนรักสุขภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวละครหลักที่จุดตลาดนี้ให้เกิด คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งวิภูมองว่า เป็นกลุ่มที่มีความรู้ความเข้าใจในแพลนต์เบส กล้าเปิดรับสิ่งใหม่ และตระหนักในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนยุคก่อน
“ต้องยอมรับว่าพอเป็นสินค้าอะไรที่ใหม่ ตลาดยังไม่คุ้นชิน ลูกค้ากลุ่มแรกๆ (Early Adopters) จึงเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยตั้งแต่ 18-30 ปี คนกลุ่มนี้จะตื่นเต้นกับเรามาก เขารู้จักแพลนต์เบสและรู้จักมีท อวตาร แต่ว่ากลุ่มเป้าหมายจริงๆ ที่เราอยากให้มาเป็นลูกค้า ก็คือคนที่ทานเนื้อสัตว์อยู่แล้วแต่อยากที่จะลดการทานลง อยากให้แพลนต์เบสเป็นอีกทางเลือก อยากสื่อสารให้คนกลุ่มนี้รู้ว่าแพลนต์เบสดีอย่างไรและปัจจุบันก็ทำได้ใกล้เคียงเนื้อสัตว์มากขึ้นแล้ว” เขาบอก
ในซีซันแรก มีท อวตาร ใช้กลยุทธ์ พัฒนาเนื้อแพลนต์เบสที่อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ วิจัยและพัฒนาโดยใช้วัตถุดิบในประเทศ ราคาเข้าถึงได้ เเจ้งเกิดในตลาด ทว่าในซีซันใหม่นี้ พวกเขาจะไปได้ไกลกว่านั้น
เติบโตสู่ “Matan” อาหารแพลนต์เบสง่ายๆ ใครก็ทานได้
หลังออกตลาดได้ 3 ปี วิภูบอกว่าพวกเขาได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก หนึ่งในนั้นคือจุดอ่อนของผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช ที่ยังต้องนำไปประกอบอาหาร ซึ่งมีความยุ่งยากโดยเฉพาะกับคนที่ไม่ถนัดในการปรุงอาหาร นั่นเองที่ทำให้เกิดแนวคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อจำแลงในรูปแบบที่พร้อมทานมากขึ้น เช่น นำไปทอดหรือเข้าเวฟก็อร่อยทันที แบรนด์มีท อวตารในซีซันนี้จึงจะมีเมนูเนื้อใหม่ๆ ที่ทานง่ายออกมาเสิร์ฟผู้คนให้มากขึ้น
ขณะเดียวกันก็แตกแบรนด์ลูกชื่อ “มาทาน (Matan)” ซึ่งผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอาหารทานง่ายๆ เช่น ขนมขบเคี้ยว ของหวาน เครื่องปรุง และสินค้าพร้อมทาน ออกมาสร้างความว้าว! ให้กับตลาด ที่สำคัญไม่ได้เน้นแค่ช่องทางขายที่เป็นออนไลน์อีกต่อไป แต่เตรียมเสิร์ฟความอร่อยผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต,ร้านอาหาร และร้านสุขภาพทั่วประเทศ อีกด้วย
“คอนเซ็ปต์ของมาทานคืออาหารแพลนต์เบสที่ทานง่าย คนเข้าถึงได้ง่ายๆ สำหรับผู้ที่อยากทานแพลนต์เบสแต่ไม่รู้จะเริ่มจากอะไรดี ทำอาหารก็ไม่เป็น เราเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นมาลองนี่ มาทานแพลนต์เบสกัน ด้วยมาทานนี่แหล่ะ เริ่มจากของที่ทานง่ายๆ เช่น พวกขนมขบเขี้ยว ขนมหวาน และของทานเล่น โดยเริ่มจากน้ำสลัดแพลนต์เบสที่พัฒนาสูตรร่วมกับสลัดแฟคทอรี่ (Salad Factory) และไอศกรีมแพลนต์เบสที่จับมือกับ มอลลี่ อัลลี่ (Molly Ally)”
และนี่คือแนวทางใหม่ในการขับเคลื่อนธุรกิจของพวกเขา นั่นคือไม่ได้เดินคนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นการจับมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อเติบโตไปด้วยกัน
ไม่ใช่แค่ทำธุรกิจร่วมกัน แต่ต้องเป็น Strategic Partner
“การจับมือกับพาร์ทเนอร์ มีอยู่ 2 แนวทาง หนึ่งคือ แบรนด์ที่แข็งแรงอยู่แล้ว และสองเขาทำอาหารอร่อยแต่อาจยังทำแบรนด์ไม่เป็น แนวทางแรกแบรนด์ที่ดังอยู่แล้วแต่ไม่มีผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส เราจะมาช่วยกันพัฒนาเป็นการโคแบรนด์ร่วมกัน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ไปได้เร็วและไกลกว่า ส่วนรายที่ทำของอร่อยแต่ไม่มีแบรนด์ เราก็จะเข้าไปช่วย โดยมาผลิตในแบรนด์ของเราเพื่อนำของอร่อยของเขาออกสู่ตลาด
สำหรับแนวคิดในการเลือกพาร์ทเนอร์นั้น เรามองการเป็นพันธมิตรในเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) ผมมองว่าการทำธุรกิจกับพาร์ทเนอร์ในยุคนี้เราต้องดูในเรื่องกลยุทธ์ ว่าไปด้วยกันได้หรือเปล่า และจะต้องไม่มีใครเอาเปรียบใคร แต่พยายามหาจุดที่ วิน-วิน ด้วยกันทั้งคู่ ถามว่าวิธีคิดแบบนี้จะส่งผลต่อธุรกิจเราอย่างไร แน่นอนจะทำให้เราได้ของที่ดี มีคุณภาพและราคาที่แข่งขันได้ เข้าถึงคนได้มากที่สุด” เขาบอกจุดแข็งของการมีพาร์ทเนอร์
ในการเลือกพาร์ทเนอร์ยังมองไปถึงคนที่มีแพสชั่นเดียวกัน ตระหนักในเรื่องการทำธุรกิจที่ต้องไม่ทำร้ายโลกและสิ่งแวดล้อม หรือมีความตั้งใจที่จะลดการทำลายสภาพแวดล้อมลง ต่อมาคือพาร์ทเนอร์ที่มุ่งเน้นการทำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และสุดท้ายการทำธุรกิจที่มีศีลธรรม ไม่ฆ่าชีวิตสัตว์ หรือทารุณกรรมสัตว์ มีครบทุกข้อ ก็พร้อมเติบโตไปกับมีท อวตารในซีซันใหม่นี้ได้
มุ่งสู่เป้าหมายผู้นำเนื้อสัตว์ทดแทนในภูมิภาคเอเชีย
ในวันเริ่มต้น มีท อวตาร ประกาศความมุ่งหวังที่จะนำพาแบรนด์แพลนต์เบสสัญชาติไทยขึ้นแท่นผู้นำตลาดเนื้อทดแทนเนื้อสัตว์ในภูมิภาคเอเชีย ผ่านมาเกือบ 3 ปี ความฝันและมุ่งมั่นของพวกเขาก็ยังไม่จางหาย โดยล่าสุดได้นำพาแบรนด์ไปเจาะตลาดเวียดนามได้เป็นที่เรียบร้อย
“ปัจจุบันเราเริ่มส่งออกไปเวียดนามแล้ว ประเทศที่เหลือรอบๆ อาเซียนไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์ ก็มีการพูดคุยกันอยู่ เกาหลีเองก็ให้ความสนใจมาดูโรงงานของเราแล้วด้วย ฉะนั้นการส่งออกยังมีโอกาส ถามว่าทำไมถึงเชื่อว่าเราจะเป็นผู้นำในตลาดนี้ได้ ผมมองว่าด้วยความที่เราทำอาหารที่ผลิตจากประเทศไทย ซึ่งอาหารไทยมันคืออันดับหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนสิ่งที่เราจะต้องสู้เขาต่อไปในอนาคตคือ การพัฒนาสินค้าหรือวัตถุดิบที่มาจากพืชท้องถิ่น นั่นจะทำให้เรามีความได้เปรียบในการแข่งขัน และจะลดต้นทุนได้อีกเยอะมาก ซึ่งจะทำให้เราทำอาหารแพลนต์เบสที่อร่อย ในราคาที่แข่งขันได้”
เขาบอกแต้มต่อ ก่อนฉายภาพความฝันในอนาคตให้ฟังว่า
“ถามว่าฝันอยากเห็นธุรกิจเราเติบโตไปได้ไกลแค่ไหน นอกจากที่จะไปขายในต่างประเทศ ผมอยากที่จะเป็นแพลนต์เบสเอเชียน นั่นแปลว่าเราจะเน้นตลาดที่เป็นร้านอาหารเอเชีย หรือร้านอาหารไทยทั่วทุกมุมโลกที่จะมีแบรนด์มีท อวตาร รวมถึงแพลนต์เบสของไทยเข้าไปรวมอยู่ด้วย โดยการที่เราอาจต้องมีการขยายโรงงานในต่างประเทศ ที่สำคัญเราต้องใช้พืชเศรษฐกิจของไทย โดยอาจไปตั้งโรงงานผลิตที่นั่น แต่ก็ต้องนำเข้าพืชจากไทยอยู่ดี นี่คือความฝันของผม แน่นอนว่ามันอาจจะใช้เวลาเป็น 10 ปี แต่เราก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร” เขาบอก
ระหว่างทางของการโบยบิน มีท อวตาร ก็มีการทำวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับแพลนต์เบสอย่างต่อเนื่อง และยังพยายามหางานวิจัยดีๆ มาต่อยอดธุรกิจของพวกเขาอย่างไม่หยุดนิ่ง
ท่ามกลางการเติบโตของตลาดแพลนต์เบสเมืองไทย ที่ร้อนแรงขึ้นทุกวัน แต่วิภูยังเชื่อว่า แพลนต์เบสไม่ใช่กระแสแต่คือทางเลือกที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับอาหารของโลกในอนาคต
“ผมเชื่อว่าในระยะยาวอย่างไรแพลนต์เบสก็มาแน่นอน เพราะว่าโลกของเรากำลังจะเปลี่ยนไป โดยเนื้อสัตว์จะแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลี้ยง หรือโรคระบาด ในอนาคตแพลนต์เบสจะกลายเป็นเนื้อทดแทน ที่ค่อยๆ กินตลาดเนื้อสัตว์เข้าไปเรื่อยๆ จนคนอาจจะชินว่า สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องมีแพลนต์เบสเป็นทางเลือก ซึ่งต่อไปผมเชื่อว่า ราคามันจะถูกกว่าเนื้อสัตว์ด้วยซ้ำ
สำหรับธุรกิจของเรา มองว่า การที่เราวางตั้งแต่รากฐาน พันธมิตร และรสชาติ จะทำให้เราสามารถไปต่อได้ และตลาดแพลนต์เบสคือตลาดเนื้อสัตว์ แน่นอนว่ามันใหญ่มากๆ สามารถมีผู้เล่นเข้ามาได้ตลอดเวลา ซึ่งผู้เล่นเก่าถ้ายังรักษาคุณภาพและอุดมการณ์ทุกอย่างเอาไว้ได้ เชื่อว่ายังไงมันอยู่ได้แน่อน เพราะเม็ดเงินในตลาดนี้ใหญ่มากจริงๆ และทุกคนมีโอกาสเติบโตได้ วันนี้มีผู้เล่นเข้ามาใหม่ ผมไม่ได้มองว่า เขาคือคู่แข่ง แต่คือคนที่มาช่วยกันทำให้ตลาดนี้ใหญ่ขึ้น เพราะนี่เป็นมหาสมุทรที่ใหญ่มาก” เขาย้ำในตอนท้าย
ก่อนจะฝากให้ผู้เล่นรายใหม่ที่อยากเข้าสู่ตลาดนี้ว่า ต้องเตรียมใจในเรื่องของตลาดที่อาจไม่ได้ขายดีอย่างที่คิดเพราะยังเป็นของใหม่ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ก็ต้องพัฒนาและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เร็วกว่าตลาดเนื้อสัตว์เดิมๆ ด้วยซ้ำ และต้องเตรียมใจว่าจะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเร็วที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรโอกาสก็ยังมีเสมอในมหาสมุทรที่ชื่อ “แพลนต์เบส”
Meat Avatar FB : Meat Avatar Line @MeatAvatar https://meatavatar.com/ |
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี