TEXT : ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช
จากยุคสมัยที่ธุรกิจเปลี่ยนจากปลาใหญ่กินปลาเล็ก เข้าสู่ยุคปลาเร็วกินปลาช้า จนถึงล่าสุดปลาไม่ว่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ จะว่ายไวหรือว่ายช้า ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้สอดรับกับพฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค ไม่รอดทั้งนั้น ดูอย่างธุรกิจโฆษณาวันนี้ ผู้บริโภคหันหน้าไปทางไหน บนออนไลน์หรือออฟไลน์ก็หนีไม่พ้น แถมยังต้องเสนอหน้าให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกเนื้อหา และถูกกลุ่มเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ยึดติดกับเวลา สถานที่หรืออุปกรณ์รับชม ทุกกระบวนท่าของการเปลี่ยนแปลงคือ โอกาสของความอยู่รอด เติบโต และยั่งยืน แล้วธุรกิจของคุณผู้อ่านล่ะครับ ได้ขยับขยายย้ายกลยุทธ์กันบ้างหรือยัง?
กฎของเมนเดล บิดาทางพันธุศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า สิ่งมีชีวิตที่จะมีโอกาสรอดในธรรมชาติได้ต้องรู้จักปรับตัว ไม่เช่นนั้นก็จะถูกคัดออกโดยธรรมชาติ หรือตายไปในที่สุด กฎนี้ดูเหมือนจะใช้ได้กับธุรกิจทุกยุคทุกสมัย ยิ่งปัจจุบันยิ่งสำคัญ บทความนี้ผมขออนุญาตนำเสนอไอเดียของการปรับแผนงานธุรกิจต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ เติบโตอย่างน่าอัศจรรย์ อย่างไรก็ดี วิธีเหล่านี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นแนวทางที่อยากให้คุณผู้อ่านได้ลองนำไปตั้งคำถามกับสินค้า บริการ หรือแม้แต่โมเดลธุรกิจของตนเองว่า เราจะสามารถประยุกต์ใช้ไอเดียเหล่านี้ได้อย่างไร? ถ้าพร้อมแล้วไปดูวิธีของพวกเขากันครับ
1. เรียบง่าย ใช้งานได้โดยไม่ต้องคิด
ไอเดียแรกคือ ทำให้สินค้า บริการ หรือโมเดลธุรกิจของคุณง่ายที่สุด ภาษากลยุทธ์เรียกว่า Tactic (Less is more) ใช้แรงนิดเดียวได้ผลลัพธ์มหาศาล เกิดประโยชน์มากมาย โดยรายละเอียด หรือกลไกนิดเดียว ตัวอย่างธุรกิจเช่น ตัวต่อ Lego บริการคลิกเดียวสั่งได้ (One Click Ordering) ของ Amazon เครื่องเล่น iPod (มีปุ่มเดียว) หรือ Google ที่ทั้งหน้าจอมีแค่ช่องค้นหากับปุ่มค้น ฯลฯ ลองลดขั้นตอนความยุ่งยากของสินค้า บริการของคุณดู อาจได้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้นะครับ
2. เพิ่ม สร้าง หรือเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่
ไอเดียนี้เป็นการมองหาประสบการณ์เพิ่มเติม หรือสร้างใหม่เลย เช่น การทำให้บรรยากาศร้านน่านั่งคิดงาน สบายๆ เหมือนอยู่บ้านอย่าง Starbucks หรือการเรียกแท็กซี่ผ่านมือถือด้วย Grab หรือ Uber ร้านอาหารที่อยู่ในฟาร์ม เสิร์ฟสดถึงโต๊ะท่ามกลางธรรมชาติอย่าง Farm-to-Table ฯลฯ ไอเดียนี้อยากให้เจ้าของธุรกิจมองว่า สินค้าหรือบริการ สามารถเพิ่มประสบการณ์อะไรให้ลูกค้าได้อีกบ้าง นอกจากตัวสินค้าเอง ซึ่งกฎพื้นฐานความต้องการของลูกค้าคือ Better, Cheaper, Faster หมายถึง สินค้า บริการ หรือประสบการณ์ที่ดีกว่า คุ้มค่า และไม่ต้องรอ เพิ่มเติมอีกข้อคือ ความรู้สึกพิเศษ เฉพาะลูกค้าเท่านั้น (Exclusivity)
3. ทำให้เล็กลง ง่ายขึ้น ถูกลง
บางทีการที่ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าของคุณ หรือซื้อน้อย อาจเป็นเพราะสินค้านั้นใหญ่เกินไป มากเกินไป การปรับลดให้พอเหมาะพอดี อาจทำให้สินค้าขายได้มากขึ้น เร็วขึ้น อดีตฟาสต์ฟูดเปิดตัวไอศกรีมถ้วยราคา 15 บาท ยอดขายก็พอมีบ้าง แต่พอปรับราคาลงเหลือ 7 บาท ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า Fiverr ฟรีแลนซ์ราคาประหยัดเริ่มต้นที่ 171 บาท ไอเดียนี้ให้คุณกลับไปมองว่า ธุรกิจของคุณสามารถปรับขนาด ราคา หรือเวลาในการใช้บริการให้เล็กลง ง่ายขึ้น เร็วขึ้น หรือถูกลงได้หรือไม่?
4. หาพันธมิตรธุรกิจ เร่งโต
ไอเดียนี้ฟังดูง่าย แต่การเลือกพันธมิตรคือ หัวใจของความสำเร็จ โดยหลักพื้นฐานคือ ควรเลือกพันธมิตรที่แข็งแรง เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน และมีกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมาก ถ้าตอบโจทย์ 3 ข้อนี้ก็ถือว่าเป็นพันธมิตรที่น่าสนใจมากๆ ตัวอย่างเช่น Nike จับมือกับ Apple เพื่อเปลี่ยน iPod ให้กลายเป็นเทรนเนอร์ในการวิ่ง ทำให้รองเท้าวิ่งขายดีขึ้นพร้อมๆ กับไอพอด หรืออย่างการที่ Lazada อี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ใช้บริการของ Kerry Express จนทำให้แบรนด์รับ-ส่งสินค้ารายนี้เป็นที่จดจำ และมีฐานลูกค้ามากมาย พันธมิตรที่ใหญ่กว่า อาจทำให้คุณได้กำไรต่อหน่วยลดลง แต่ได้ปริมาณการใช้สินค้า หรือบริการที่มากกว่างานหนัก แต่สิ่งที่ควรได้มานอกจากกำไรก็คือ ฐานข้อมูลลูกค้าที่สามารถนำไปใช้หากินได้ต่อในอนาคต
5. แสวงหาลูกค้ากลุ่มใหม่
ในยุคที่ธุรกิจไม่ได้ขาดแคลนสินค้า หรือบริการ แต่เป็น “ลูกค้า” ต่างหาก ที่หายากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่แข่งขันดุ เพราะใครๆ ก็สามารถกระโดดเข้ามาเล่นได้ไม่ยาก ไอเดียนี้ต้องการจะบอกคุณว่า อย่ามัวแต่ไปแย่งหากินกับลูกค้ากลุ่มเดิมเลย เพราะนับวันจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ที่เปรียบเสมือนกับตัวหารที่มากขึ้น โอกาสธุรกิจก็ลดลง ทั้งรายได้ กำไร และการเติบโต ตัวอย่าง Zipcar บริการเช่ารถขับจากเต็นท์สู่เต็นท์ ที่จับกลุ่มสมาชิกที่อยากมีรถขับไม่ซ้ำคัน แต่ไม่ต้องการซื้อรถเป็นของตนเอง สมาชิกสามารถเลือกขับรถรุ่นใดก็ได้จากเต็นท์ใกล้ที่พัก เพื่อไปจอดยังเต็นท์ Zipcar ที่ใกล้เป้าหมายปลายทาง หรือในทางกลับได้ โดยเสียค่าสมาชิก และน้ำมัน
ไอเดียแถมท้าย
สังเกตว่า ไอเดียทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะโลกเปลี่ยนไป แต่ความต้องการของผู้บริโภคยังคงเหมือนเดิม อาจจะมีบริบทของการใช้สินค้า หรือบริการที่ต้องเปลี่ยนไปบ้างตามยุคตามสมัย แต่ลึกๆ แล้ว ผู้บริโภคยังคงต้องการความสะดวก สบายทั้งกาย ใจ และกระเป๋าสตางค์ จากประสบการณ์ส่วนตัว เรื่องราวของสินค้า บริการ หรือโมเดลธุรกิจวันนี้ สามารถอธิบายด้วยวิธีคิดเดิมๆ ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีตได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น การนำไอเดียเหล่านี้มาปัดฝุ่น แล้วมองธุรกิจของตัวเองอีกครั้ง เพื่อหาทางออกที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคมดิจิทัล คุณผู้อ่านอาจสามารถพลิกวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ให้กลายเป็นโอกาสใหม่ที่คาดไม่ถึงก็ได้ สำหรับไอเดียแถมท้าย เป็นการสร้างชุมชน แฟนคลับ (Community) อย่าให้ลูกค้ารู้สึกว่า สินค้าหรือบริการที่คุณมีให้ ซื้อจากใครก็ได้ ไม่เห็นต้องซื้อจากคุณเลย และเหนืออื่นใดคือ การทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า การทำให้คนอื่นได้รู้ว่า พวกเขาใช้สินค้า หรือบริการของคุณนั้น เป็นเรื่องภาคภูมิใจซะเหลือเกิน เหมือนกับที่ชาว Harley เป็นกันอยู่ เด็กผู้หญิงที่รัก Kitty จนย่างเข้าสู่วัยสาว วัยทำงาน หรือแม้แต่เป็นคุณแม่แล้วก็ตาม และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Apple ที่ทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นตามคำขวัญบริษัท
กล่าวโดยสรุป การทำให้แบรนด์สินค้าบริการกลายเป็นชุมชนคนนิยมใช้ และเผยแพร่อย่างภาคภูมิใจ จะทำให้ธุรกิจของคุณยั่งยืน อย่ามัวแต่ขายสินค้าอย่างเดียว แต่หันมาสร้างแบรนด์ควบคู่กันไปด้วยนะครับ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี