TEXT : ภัทร เถื่อนศิริ
วันก่อนผมได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานของการตลาดวันละตอนครับ และได้รับคำถามนี้มาว่า “เราจะเปลี่ยนไอเดียที่ดีเป็นธุรกิจที่ใช้ได้อย่างไร” ผมรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ดี จึงอยากจะนำมาแบ่งปันมุมมองสำหรับเรื่องนี้กันครับ
ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงมีช่วงเวลาที่เราคิดไอเดียธุรกิจออกมาได้ไม่มากก็น้อย แต่พอมีไอเดียแล้วก็จะมีบางส่วนที่ลงมือทำเลย กับอีกกลุ่มนึงที่ขอคิดดูก่อน จะดีกว่าไหมครับถ้าเรามีวิธีที่สามารถช่วยเหลือทั้งสองกลุ่มได้ คือ ลดความเสี่ยงให้กับกลุ่มแรก และเพิ่มความมั่นใจให้กับกลุ่มที่สอง
ซึ่งหากเราจะประสบความสำเร็จในธุรกิจนั้น เราจะต้องประสบความสำเร็จสองครั้ง ครั้งแรกคือในจินตนาการ และครั้งที่สองที่เกิดขึ้นจริง
ดังนั้นขั้นตอนแรกเลยเราควรทดสอบไอเดียในจินตนาการก่อนเลยว่า
1. มีความมีเหตุมีผลไหม มีข้อมูลสนับสนุนไอเดียนั้นไหม ถ้าไม่มีหรือข้อมูลต่างๆ ขัดแย้ง เราอาจจะปัดไอเดียที่มีความเสี่ยงตกไปก่อนได้เลย
2. มีความเป็นไปได้ไหม (ข้อนี้หลายคนตกม้าตายไม่ได้คิดก่อนบ่อยมากๆ ที่ผมเจอ) กล่าวคือ สำหรับผม ผมจะคำนวน Feasibility เบื้องต้นก่อนเลยว่าหากเราทำสินค้า / ผลิตภัณฑ์นี้ออกสู่ตลาดแล้ว จะคุ้มทุนไหม หลายเคสของเพื่อนผมคือลงมือทำไปแล้ว แล้วมาคำนวน Feasibility ที่หลังถึงพึ่งทราบว่าทำยังไงก็ไม่คุ้มทุน น่าเสียดายมากครับ
3. สามารถขยายตัวและสเกลได้ไหม (อันนี้เป็นทางเลือกนะครับ เพราะความต้องการในการทำธุรกิจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน) แต่สำหรับผมผมชอบที่จะขยายธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากขึ้น และสามารถเติบโตแบบ Exponential ได้โดยที่ต้นทุนเพิ่มไม่มาก
จากแค่คำถามไม่กี่ข้อข้างต้นก็สามารถกลั่นกรองไอเดียธุรกิจของเราให้แข็งแรงขึ้นได้อย่างมากแล้วครับ หากจะเจ๊งก็เจ๊งในกระดาษ/ความคิดของเราก็พอจะได้ไม่เจ็บตัวเยอะ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเริ่มทำธุรกิจของเราต่อไปได้ด้วยครับ
คำถามต่อไปคือแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าไอเดียที่เรามีสามารถเกิดเป็นธุรกิจได้?
วิธีการของผมคือ “Test ตลาดอย่างมีเหตุมีผล“ คือ ถ้าเรามั่นใจกับข้อมูลการทดสอบไอเดียของเราข้างต้นแล้ว การทดสอบตลาดจะเป็นการแก้ปัญหาซะส่วนใหญ่เพื่อทำให้สินค้า/ผลิตภัณฑ์ของเรานั้นตอบสนองผู้บริโภคได้ดีขึ้น หลากหลายมากขึ้น ช่วงนี้เรื่องของ Attitude + Relearn จะสำคัญมาก เพราะเราต้องเรียนรู้และรับข้อมูลเรื่องราวใหม่ๆ ปรับความคิดให้ทันสมัยกับข้อมูลใหม่ๆ เพื่อพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
Progress is impossible without CHANGE; and those who cannot CHANGE their minds cannot CHANGE everything
—George Bernard Shaw
ความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนที่ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้ จะไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้เลย
โดยโจทย์ที่ยากที่สุดในการเริ่มต้นทำธุรกิจ คือ การผ่านหุบเหว Monetize ให้ได้ หลายๆ ธุรกิจเริ่มต้นมาจะยังไม่กำไร / หรือมีกำไรแต่ยังไม่ Break Even ยังขาดทุนโดยรวมในการลงทุนไป ถ้าเราพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เปิดรับเรื่องราวข้อมูลใหม่ๆ แล้วนำไปแก้ไขพัฒนาผมเชื่อว่าเราจะสามารถนำพาธุรกิจผ่านหุบเหวแห่งความสิ้นหวังนี้ไปได้ครับ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี