ใครจะรู้ว่าจากพ่อค้าขายไอศกรีมโมจิที่ตลาดนัดจตุจักร จนมีแฟรนไชส์ 300 กว่าสาขา วันนี้เขาคือเจ้าของไอศกรีมผลไม้ไทยที่ไม่ได้ขายแต่ตลาดนัดหากแต่ยังส่งออกตลาดกต่างประเทศที่สามารถครองตลาดเกาหลี 99 % ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ ฐานพงศ์ จุ้ยประเสริฐ กรรมการผู้จัดการบริษัท แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ปกัน ไปดูกันว่าเขาทำธุรกิจแบบไหนถึงได้เติบโตเป็นร้อยล้าน
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
ฐานพงศ์ เริ่มทำธุรกิจปี 2554 อาศัยเวลาช่วงหลังจากเลิกงานประจำไปขายไอศกรีมโมจิที่ตลาดนัดรถไฟจตุจักร โดยมีภรรยาเป็นคนทำส่วนตัวเขาเป็นคนยืนขาย
“เมื่อก่อนมีเทรนด์ว่าถ้าวัยรุ่นได้ไปขายของที่ตลาดนัดรถไฟจะเจ๋งมาก พอผมเริ่มขายดี ผมก็เริ่มขายส่ง เริ่มมีแฟรนไชส์ แล้วก็มีโรงงานเล็กๆ ซึ่งในตอนนั้นก็ประสบความสำเร็จจนได้ออกทีวีเกือบทุกช่อง มีสื่อต่างชาติมาสัมภาษณ์ และมีแฟรนไชส์ในประเทศกว่า 300 สาขา จนวันหนึ่งผมอยากทำโปรดักต์หนึ่งขึ้นมาให้มันดังแบบตุ้มเลย และบวกกับวันหนึ่งผมเห็นว่ามีการนำสับปะรดมาเททิ้ง ผมมาคิดว่าเราจะทำไงที่จะนำผลไม้เหล่านั้นมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าได้”
เมื่อถามถึงเหตุผลว่าทำไมต้องใช้ผลไม้ไทยมาพัฒนาเป็นโปรดักต์ ฐานพงศ์ ให้เหตุผลว่า ผลไม้ไทยมีศักยภาพ ทั้งด้านรสชาติ แหล่งวัตถุดิบที่สมบูรณ์ บริษัทจึงมีนโยบายใช้ผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย อย่างน้อยก็เป็นส่วนเล็กๆ ในการช่วยเหลือเกษตรกรไทย และผลักดันเศรษฐกิจภาคการเกษตรของไทย ด้วยการคิดค้นพัฒนาการวิจัยผลิตภัณฑ์ประเภทไอศกรีมแปรรูป ไอศกรีมแปรรูปผลไม้
“ตอนนี้ แม็คซ์ฟู๊ด รับซื้อสับปะรดจากเกษตรกรประมาณเดือนละ 1 ล้านลูก ช่วงพีคๆ ในเดือนนี้ที่มีการเปิดประเทศรับซื้อสับปะรด 1.8 ล้านลูก มันก็เลยเป็นที่มาของไอศกรีมสับปะรด แม็คซ์ฟู๊ด”
เพราะไม่อยากธรรมดา เลยต้องเจอกับอุปสรรค
แม็คซ์ฟู๊ด กรุ๊ป ก่อตั้งเมื่อปี 2563 ทำธุรกิจในรูปแบบ B2B ขายผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศ เน้นการส่งออกเป็นหลัก ฉะนั้นจึงต้องทำให้สินค้ามีความโดดเด่นตั้งแต่แพ็กเกจจิ้ง
“บรรจุภัณฑ์ที่ใส่ไอศกรีม จะให้ใส่ถ้วย ใส่โคนก็ธรรมดา เราเลยนำเปลือกของผลไม้มาทำเป็นถ้วยไปเลย เท่ากับเราใช้ประโยชน์ของผลได้ 100 % แต่ก็เจออุปสรรคค่อนข้างเยอะ ในเรื่องของกระบวนการทำค่อนข้างยาก ต้องควบคุมเชื้อ ถ้าไม่มีอุปกรณ์ที่เราสามารถควบคุมเชื้อได้ เชื้อก็จะฟุ้งเกินมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งในช่วงแรกๆ ที่ส่งไปขายต่างประเทศปรากฏว่าของโดนตีกลับ ช่วงนั้นเจ็บและท้อมากๆ เพราะว่าเราลงทุนไปแล้ว แต่อุปกรณ์มันไม่ใช่ ทำให้เสียหายไปเยอะเหมือนกัน ทำให้เราต้องเรียนรู้เพิ่มเติมว่าจะส่งออกควรใช้ขั้นตอนวิธีทำอย่างไร ต้องใช้อุปกรณ์แบบไหนถึงจะส่งออกได้”
ทำไมถึงมุ่งเน้นการส่งออก
ในการทำธุรกิจหากต้องการเติบโตก็ต้องขยายตลาดขยายกลุ่มลูกค้า ด้วยแนวคิดเช่นนี้บริษัท แม็คซ์ฟู๊ด จึงเน้นตลาดส่งออก ซึ่งประเทศที่ส่งออกหลักๆ ก็คือ ประเทศเกาหลี เพราะว่าคนเกาหลีนิยมทานปิ้งย่าง
“หลักๆ เลยก็คือ คนเกาหลีชอบเที่ยวดื่มตามผับ ตามบาร์ และเผอิญว่าสับปะรดเป็นเบสของค็อกเทลที่ดีเลย ไม่ว่าจะนำไปผสมโชจู ใส่เบียร์ดื่มตามในผับ บาร์ เราก็คิดว่าไอศกรีมสับปะรดก็น่าจะไปทานในอาหารมื้อเย็นได้ เราได้ลองทำตลาดดูปรากฏว่าเป็นจริงอย่างที่คิด ก็เลยมีการเกิดการสั่งซื้อเกิดขึ้น เลยทำให้ปัจจุบัน แม็คซ์ฟู๊ด ครองตลาดเกาหลี 99% และยอดขายในปี 2564 เราตั้งเป้าไว้ที่ 100 ล้านบาท แต่ยอดขายเกินเป้าไปเป็น 120 ล้านบาท ส่วนปีนี้ต้องการ 100% ของปีที่แล้ว ก็จะประมาณ 250 ล้านบาท
Tips ทำไอศกรีมให้ครองตลาดเกาหลีได้
1. คุณภาพสินค้า รสชาติที่ถูกปาก
2. ส่งคนลงพื้นที่เพื่อหาช่องทางการตลาด
3. หานายทุนที่จะร่วมธุรกิจกัน
4. ศึกษาพฤติกรรมของต่างๆ ลูกค้า
5. นำข้อมูลที่ได้มาให้ทีม R&D วิเคราะห์
อะไรที่ทำธุรกิจโตแบบก้าวกระโดด
“ผมว่ามันเป็นแผนและเป้าหมาย เพราะว่าเราจะทำอะไรสักอย่าง เราต้องตั้งใจที่จะทำมัน เราห้ามหยุดเดิน เมื่อไหร่ที่เราหยุดเดินเราจะจมลงไปโคลนทันที กว่าจะขึ้นจากโคลนได้ คนอื่นก็ไปแซงหน้าเราแล้ว ซึ่งถ้าเราเดินพร้อมกันเราก็ยังสูสีกับคู่แข่ง”
เป้าหมายในอนาคต
เรากำลังเตียมบุกตลาดใหญ่เพิ่มอีก 3 กลุ่ม ทั้งออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีกำลังการซื้อสูงและนิยมบริโภคผลิตภัณฑ์ไอศกรีม
“ตอนที่ผมขายโมจิอยู่ที่ตลาดนัดผมต้องเอาชนะคนทั้งตลาด เพื่อให้มาซื้อของผมให้ได้ พอตอนขายโมจิผมต้องเอาชนะคนทั้งประเทศไทย เพื่อให้คนมาซื้อแฟรนไชส์ให้ได้ ตอนนี้ผมกำลังเอาชนะคนทั้งโลกอยู่ครับ” ฐานพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย
TEXT : Momo
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี