ถึงนาทีนี้ เราคงไม่สามารถนับได้ว่าตลอด 4 – 5 ปีมานี้ มีคนกินกาแฟเพิ่มขึ้นเยอะแค่ไหน
ถ้าถามผม ผมประเมินจากปริมาณดริปเปอร์ที่ขายมาตลอดตั้งแต่เปิดร้าน Gallery กาแฟดริป ร้านแรก ณ หอศิลป์กรุงเทพฯ เมื่อสิบปีที่แล้ว วันนั้นดริปเปอร์รุ่นแรกออกแบบและสั่งผลิตมา 1,500 ชิ้น ใช้เวลาขายอยู่ 5 ปีกว่าจะหมด จึงตัดสินใจสั่งทำรุ่นสองออกมาอีกเกือบ 1,000 ชิ้น ใช้เวลาขายอีกหนึ่งปีเต็มกว่าจะหมด สังเกตได้ว่ารุ่นแรกขายเฉลี่ยปีละ 300 ชิ้น ใช้เวลา ขาย 5 ปีถึงจะหมด ในขณะที่รุ่นสองในปริมาณ 300 ชิ้นเท่ากันใช้เวลาขายเฉลี่ยเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น
มาถึงปี 2565 นี้ ดริปเปอร์รุ่นสามที่ผลิตออกมากำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ผ่านมา 2 ปีขายไปแล้วเกือบ 6,000 ชิ้น คำนวณเล่นๆ หมายความว่าจำนวนคนชงกาแฟกินเองในครัวเรือนเพิ่มขึ้นชนิดก้าวกระโดดถึงเกือบ 10 เท่าในรอบสิบปี
ไม่น่าเชื่อว่าอุปกรณ์ชงกาแฟ ที่มีต้นกำเนิดแนวคิดมาจากในครัวของแม่บ้านเยอรมันเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วนี้ ทุกวันนี้จะกระจายไปอยู่บนบาร์ชงกาแฟทั่วโลก เป็นอุปกรณ์เรียบง่ายชิ้นสำคัญที่สามารถรีดรสชาติของกาแฟให้ออกมาได้อร่อยที่สุดวิธีการหนึ่ง จนมีการนำไปแข่งขันจริงจังระดับโลก
ในช่วงเวลาอันยาวนาน ดริปเปอร์ถูกออกแบบมาหลากหลาย หน้าตา รูปทรง วัสดุ ต่างกันไปตามแนวคิดที่ส่งผลต่อการใช้งาน แต่ยังคงหลักการแช่และไหลเหมือนเดิม ทั้งประเภทตูดตัดแรงดันต่ำที่ให้ความบาลานซ์ หรือแบบกรวยสูงชันแรงดันสูงที่ให้ความฉูดฉาด นักชงสามารถเลือกดริปเปอร์ได้ตามลักษณะที่ต้องการเหมือนเลือกรถยังไงยังงั้น
การมีดริปเปอร์ดีๆ ก็เหมือนมีรถดีๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพฤติกรรมการขับหรือการชงของแต่ละคนเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เพราะมัน คือ รสมือที่บังคับรสชาติให้ได้ตามต้องการ ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจในรสชาติของกาแฟที่มาจากประสบการณ์การชิมควบคู่ไปด้วย
ดริปเปอร์มีชีวิตอยู่ในครัวเรือนมานานแสนนาน กว่าจะได้ออกมาโลดแล่นตามบาร์กาแฟชั้นนำ ควบคู่ไปกับวัฒนธรรมกาแฟโลก การชงกาแฟที่แสนเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยภูมิปัญญานี้ กำลังกลับเป็นที่นิยมสำหรับคนชงที่ปรารถนาเข้าถึงรสชาติได้ด้วยตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ในบ้านเราในจำนวนมากของคนกาแฟรุ่นใหม่ๆ จะชงกาแฟจริงจัง กินกาแฟจริงจัง มีดริปเปอร์และอุปกรณ์การชงไม่น้อยไปกว่าร้านกาแฟจริงจังเลย…
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี