ย้อนรอย 52 ปี เจี๊ยบรสดีเด็ด ความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่น หนึ่งในตำนานของสยามสแควร์

TEXT: Neung Cch.
 


            

   
     “แม่รักสยามสแควร์มาก เพราะเป็นคนบุกเบิกร้านมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เขานึกว่าจะอยู่จนสิ้นลมหายใจ วันนี้เราอาจต้องยอมแพ้ เราอาจต้องยอมกลืนเลือดในเวลานี้” ประโยคที่ พัสวี ไกรเดชอุดมไพศาล หรือ เจี๊ยบ ทายาทรุ่นที่สองร้านเจี๊ยบรสดีเด็ด เอ่ยมาพร้อมกับเสียงสะอื้นเมื่อทราบว่าต้องปิดสาขาที่สยามสแควร์

 
     เมื่อถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 นอกจากเป็นวันสุดท้ายของเดือนแล้วยังเป็นวันสุดท้ายที่ เจี๊ยบรสดีเด็ด จะส่งต่อความอร่อยให้กับผู้คนในสยามสแควร์ซอย 2 เหลือเพียงสาขาที่ ‘ศูนย์การค้าวรรัตน์ ถนนจันทน์ 16’


     วันนี้ SME Thailand Online จะพาย้อนรอยไปว่าอะไรทำให้ธุรกิจครอบครัวเล็กๆ ถึงครองใจชาวสยามมากว่า 50 ปี และยังเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ ที่เตรียมส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 3 สร้างตำนานบทใหม่


 

ยุคเก้าอื้ดนตรี

           

       ร้านเจี๊ยบรสดีเด็ด เดิมทีมีว่าชื่อร้านรสดีเด็ด ขายอาหารประเภทจานเดียวย่านสยามสแควร์ โดยสองเมนูขึ้นชื่อ คือ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ทีเด็ดอยู่ที่น้ำซุปกระดูกวัวสูตรเฉพาะของร้านและเนื้อโคขุนจากพะเยา และข้าวหน้าไก่ที่ใช้เนื้อไก่ส่วนสะโพกและอก ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงเพียงไม่กี่ชนิด ได้แก่ ซอสปรุงรส น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว แต่งสีด้วยซีอิ๊วดำและแป้ง
              
       ด้วยความที่สูตรก๋วยเตี๋ยวเป็นของครอบครัวที่คิดเองปรุงเอง ย่อมถูกใจคนในครอบครัวแต่ถ้าให้บอกว่าอร่อยแค่ไหนคงบรรยายไม่ถูก แต่ถ้าจะให้พิสูจน์ก็คงดูจากจำนวนลูกค้า
               
      “บ้านเจี๊ยบยิ่งกว่าเก้าอี้ดนตรี ขายตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ตอนนั้นขายได้นำแบงก์ 500 โกยใส่ถุงไว้ก่อนแล้วค่อยมานับกันทีหลัง ขายตั้งแต่จาน 5 บาท”


            นั่นคือยุคในช่วงประมาณปี 2520 ที่เป็นยุคทองของรสดีเด็ด ที่ผู้คนต่างติดใจในรสชาติ และรู้ว่าจะกินก๋วยเตี๋ยวเนื้ออร่อยจะต้องมาที่สยามสแควร์ แต่น้อยคนนักที่จะจำแบรนด์ได้





ยุคสร้างแบรนด์


       เมื่อมารับไม้ต่อคุณแม่ตั้งแต่อายุ 25 กว่า 20 ปีที่ดูแลกิจการพยามสืบทอดความอร่อยและบริการอย่างดี แต่สิ่งที่ทายาทรุ่นที่สองเริ่มสังเกตเห็นคือ ทั้งที่รสมือเป็นที่ถูกปากใครต่อใคร แต่พอ เจี๊ยบ ซึ่งเคยเป็นอาจารย์พิเศษ ถามบรรดาลูกศิษย์ว่าเคยไปกินอาหารร้านรสดีเด็ดไหม หลายคนส่ายหน้าแต่พอเอารูปอาหารให้ดูทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกันว่าเคยไป
               

     จากจุดนั้นเมื่อรวมกับเทรนด์ต่างประเทศที่คนชอบถ่ายรูปอาหาร ทำให้ทายาทรุ่นที่สองจึงทำการตกแต่งบรรยากาศในร้านให้
มีความร่วมสมัย เข้ากับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น บรรยากาศดี เหมาะกับการเช็กอินถ่ายรูป พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น เจี๊ยบรสดีเด็ด พร้อมกับบรรยากาศร้านที่คุมโทนสีด้วยสีดำ ที่มีการตกแต่งเก๋ๆ แม้แต่เก้าอี้ยังออกแบบให้แขนไม่ชนกันเพื่อให้ลูกค้านั่งทานอาหารได้อย่างสบายใจ
               

     “ประมาณปี 2559 เราก็รีแบรนด์อีกครั้งลงทุนไป 20 ล้านบาท เพื่อทำตัวให้ทันสมัยขึ้น ปรับแต่งอาคาร ชั้นที่สองตกแต่งเป็นร้านเจี๊ยบรสดีเด็ดคาเฟ่ และอาหารฟิวชั่น ชั้นที่สามเป็น Kitchen Studio ให้บริการเช่าห้องครัวสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบอาหารแต่ยังขาดครัว รวมทั้งเป็นโรงเรียนสอนด้านการดีไซน์อาหาร”


ผีซ้ำด้ามพลอย

              

      แม้จะปรับตัวตลอดแต่จนแล้วจนรอดการทำธุรกิจก็ต้องมีปัญหามาให้แก้ตลอด วิกฤตที่ร้านเจี๊ยบรสดีเด็ดเคยเจอหนักๆ ก็เช่น ตอนที่มีข่าวโรควัวบ้า หรืออย่างกรณีล่าสุดที่เกิดวิกฤตโควิด ลูกค้าหายไปในฉับพลัน ทางร้านต้องแบกภาระค่าเช่าเดือนละ 6 แสนบาท มาถึงล่าสุดประมาณเดือนกันยายน ที่เจี๊ยบได้รับแจ้งว่าหมดสัญญาเช่าและต้องคืนพื้นที่
               

     “ช็อก เจี๊ยบเหมือนโดนทุบ ตั้งแต่โควิดเราหมดเงินไป 30 ล้าน ต้องเอาเงินเก่ามาดูแลครอบครัว แต่เรายอมเพราะแม่รักที่นี่มาก ที่เสียใจเพราะมันไม่ได้จบด้วยกลไกมันไม่อร่อยหรือไม่มีลูกค้า ไม่ได้มาจากตัวเรา แต่สุดท้ายก็ต้องตั้งสติแล้วก็พูดกับครอบครัวว่าเราไม่ได้ไปไหน เราแค่ยุติบทบาทในสยามสแควร์ แต่ฉันเชื่อว่าสักพักแบรนด์นี้ก็กลับมา เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิต





สู่รุ่นที่สามยุคแห่งออนไลน์          



     ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพของแบรนด์ บวกกับเสน่ห์ของอาหารเจี๊ยบรสดีเด็ดที่มีเอกลักษณ์และการเตรียมพร้อมส่งต่อให้รุ่นที่ 3 เฟิร์ส-ธีรวิทย์ พุทธฤดีสุข ที่ผู้เป็นแม่มั่นใจว่าจะสามารถสร้างตำนานบทใหม่ได้อย่างแน่นอนตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมปี 2564 ใครที่ยังติดใจฝีมือร้านเจี๊ยบรสดีเด็ดสามารถไปได้ที่ศูนย์การค้าวรรัตน์ ถ.จันทน์ ซ.16


    “ความโชคดีของเจี๊ยบคือ พอเกิดวิกฤตแต่เราสามารถส่งต่อกิจการให้ลูกได้เร็ว เพราะเราดิวกับเขาไว้ตั้งแต่ปี 2562 ที่เราจะโดดลงไปเล่นการเมืองจริงจัง ขอบคุณลูกที่มารับไม้ต่อได้”


     โดยก่อนที่จะปล่อยมือเจี๊ยบบอกว่าเธอได้ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ทุกอย่างเหมือนที่เธอได้รับมาจากแม่ของเธอ ฝึกให้ลูกชายช่วยงานตั้งแต่สมัยเรียนม.ต้น หัดทอนตังค์ เช็ดช้อน เช็ดจาน กลับจากโรงเรียนก็ต้องมาช่วยขายก๋วยเตี๋ยวให้เขาได้ซึมซับบรรยากาศการทำธุรกิจ
               

     อย่างไรก็ตามเจี๊ยบบอกว่าเหนือสิ่งอื่นใดในการทำธุรกิจคือความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าจะช่วยทำให้ธุรกิจยืนยาวมาได้จนถึงปัจจุบัน


     “เราต้องมีสติ โควิดทำให้คิดออกว่าถ้าเรายังมีสติ สองมือ เงิน ทองหายไป แต่เรายัง มีสองมือสองเท้า สมอง สู้มันต่อไปได้ ถ้าหัวใจคุณยังแข็งแรงเรากลับมาได้เร็วกว่าคนอื่น แต่ถ้าเราอ่อนแอต่อสังคมต่อโรคจะแย่”
 

Facebook: ReBrandRoddeedet
Tel: 098 289 2423
 
 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย