จากผู้ป่วยมะเร็ง สู่เจ้าของบริบูรณ์ฟาร์ม ปั้นแบรนด์ AVOCADO โดขาย ฟื้นทั้งสุขภาพกายและการเงิน




         การไม่มีโรคย่อมเป็นลาภอันประเสริฐ แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่สู้กับมันให้ได้ เหมือนสาวหัวใจแกร่ง ฐิติรัตน์ ศักดาปรีชา ที่ชะตาชีวิตต้องมาพบเจอกับโรคร้าย ถึงขนาดต้องถูกตัดมดลูก ต้องรับประทานฮอร์โมนจากเคมีทดแทนติดต่อกันนานถึง 15 ปี จนแพทย์ถึงกับสั่งให้หยุดใช้ ทำให้เธอต้องหาฮอร์โมนจากธรรมชาติมาทดแทน จนกำเนิดแบรนด์ อะโวคาโด ที่เธอลงมือปลูกเองกินเองขายเองขายได้ยอดถล่มทลาย นี่คือเรื่องราวของหญิงแกร่งที่ไม่ยอมจำนนกับโชคชะตา





จากผู้ป่วยสู่ผู้ปลูกความหวังด้วยตัวเอง

               
         เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งทำให้ฐิติรัตน์ต้องรับประทานฮอร์โมนจากเคมีทดแทนติดต่อกันนานถึง 15 ปี ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานทางแพทย์จึงมีความเห็นให้หยุดใช้เนื่องจากจะมีผลกระทบข้างเคียง เธอจึงจำเป็นต้องหาฮอร์โมนจากธรรมชาติมาทดแทน และได้ทดลองรับประทานพืช ผัก ผลไม้หลายชนิดแต่ไม่ตอบโจทย์ จนได้ศึกษางานวิจัยอะโวคาโดและพบว่าอะโวคาโดคือสิ่งที่ตอบโจทย์ได้ จึงทดลองซื้อมารับประทาน แต่ด้วยราคาที่แพงจึงหันมาทดลองปลูกเองที่ บริบูรณ์ฟาร์ม อำเภอวังน้ำเขียว ซึ่งพบว่า ผลผลิตออกมามีคุณภาพดีเทียบเท่าต่างประเทศเนื่องจากอยู่ในพื้นที่บริเวณที่เหมาะสม


           “เห็นว่าผลอะโวคาโดมีคุณภาพ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน วิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ในการสกัดน้ำมันอะโวคาโด แต่ระหว่างทำวิจัยผลิตภัณฑ์กลับตรวจพบเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งน่าจะเกิดมาจากรับประทานฮอร์โมนจากเคมีเป็นระยะเวลานาน ต้องรักษาด้วยเคมีบำบัดและการฉายแสง เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ทานอาหารไม่ได้ ผอมแห้ง ผมร่วง ทรมานมากแทบเอาชีวิตไม่รอด ระหว่างการรักษาได้ใช้ผลิตภัณฑ์อะโวคาโดของตัวเองร่วมด้วย จึงทำให้สุขภาพพลิกฟื้นกลับมาดีอีกครั้ง จึงต้องการส่งมอบคุณค่าให้กับผู้บริโภคได้มีสุขภาพดี จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการมาทำธุรกิจนี้”





ใส่ใจตั้งแต่เริ่มเพาะปลูก



        นอกจากทำงานร่วมกับนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ รวมทั้งนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยมาใช้แล้ว ฐิติรัตน์ ยังบอกต่ออีกว่า บริบูรณ์ฟาร์มดำเนินธุรกิจแปรรูปอะโวคาโดแบบครบวงจรเจ้าแรกในประเทศไทย ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้ความใส่ใจตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ การเลือกพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว ที่เป็นแหล่งโอโซน อันดับ 7 ของโลก รวมทั้งใช้วิธีการปลูกด้วยวิถีธรรมชาติ ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


        “สิ่งที่แตกต่างจากผู้ประกอบการอื่นๆ ในท้องตลาดคือ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ปลูก หรือผู้ผลิตเอง มักจะเป็นการนำน้ำมันอะโวคาโดจากต่างประเทศมาบรรจุแคปซูล โดยไม่ทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ สายพันธุ์ กระบวนการผลิตมีคุณค่าและคุณประโยชน์ที่มีผลงานวิจัยรองรับหรือไม่ แต่สำหรับของบริบูรณ์ฟาร์ม เราดำเนินการครบวงจร โดยสามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ กลางน้ำ จึงทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ เพื่อสุขภาพ


        ปัจจุบันบริษัทเน้นผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันอะโวคาโด ครีมผงอะโวคาโด (Avocado Oil Powder) ผลิตภัณฑ์อะโวคาโดพิวเร่ (Avocado Puree) และน้ำมันอะโวคาโด ซอฟเจล (Avocado Softgel)


       “ที่บริบูรณ์ฟาร์มเป็นผู้ผลิตเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทยที่มีงานวิจัยรองรับ ตัวน้ำมันอะโวคาโด ซอฟเจล และได้รับความนิยมจากผู้รักสุขภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ตอบโจทย์ ช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ส่งผลให้ลดไขมันเลว (LDL) เพื่อป้องกันการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด สุขภาพหัวใจแข็งแรง ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้ผิวดูดีขึ้น บำรุงสุขภาพตา และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายอีกด้วย



 


ชุมชนอยู่รอด ธุรกิจอยู่ได้



         นอกเหนือจากการทำธุรกิจเพื่อสุขภาพแล้ว บริบูรณ์ฟาร์มยังเน้นการเข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกอะโวคาโด โดยได้จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกอะโวคาโด อำเภอวังน้ำเขียวขึ้น และรับซื้ออะโวคาโดที่มีคุณภาพจากเกษตรกร อำเภอพบพระ จ.ตาก และดอยอ่างขาง อำเภอฝาง จ.เชียงใหม่ เพื่อให้ได้อะโวคาโดที่ดีมีคุณภาพ ปลอดภัยมาเป็นวัตถุดิบ ในราคาที่เป็นธรรม เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน มั่นคง สิ่งสำคัญที่บริษัทตระหนักอยู่เสมอคือลดการใช้ปุ๋ย ยาเคมี ลดการเผาเศษพืช ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ลดการทำลายหน้าดิน เพื่อสร้างความสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อม


         นอกจากนั้นยังทำกิจกรรมปลูกฝังวิถีชีวิตเกษตรอินทรีย์ ให้เด็กเยาวชน เพื่อให้เยาวชนได้เริ่มเรียนรู้การปลูกอะโวคาโดและการแปรรูปอะโวคาโด ส่งเสริมเด็กเยาวชนให้เด็กเยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และมีรายได้ โดยเป้าหมายสูงสุดคือเราอยากเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรแบบดั้งเดิมของเกษตรให้หันมาปลูกอะโวคาโด และร่วมสร้างให้อะโวคาโดเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป





ต่อยอดองค์ความรู้ก้าวสู่ตลาดโลก



         ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตลาดสุขภาพจึงมีความต้องการและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง


          มูลค่าตลาดอะโวคาโดทั่วโลกมีความต้องการกว่า 400,000 ล้านบาท/ปี ประเทศที่นำเข้าอันดับ 1 คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการคาดการณ์ตลาดอะโวคาโดทั่วโลกจะขยายตัว 2 เท่า ในช่วง 5 ปี อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาประเทศไทยนำเข้าอะโวคาโดผลสดจากต่างประเทศ ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี มูลค่าตลาดอาหารเสริมและวิตามินในประเทศไทย มีมูลค่ารวมปี 2564 ประมาณ 36,375 ล้านบาท และมีการขยายตัวสะสม 9% ต่อปี
 

           “บริษัทสนใจเรื่องการส่งผลิตภัณฑ์ออกไปขายยังต่างประเทศเอง จากเดิมที่ต้องส่งขายผ่านคนกลาง ดังนั้นจึงได้เริ่มเข้าร่วมโครงการ YELG กับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตอนนี้อยู่ระหว่างวางแผนการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดการบริโภคอะโวคาโดที่ใหญ่มาก และในแต่ละปีมีการนำเข้าผลอะโวคาโดสดสูงถึง 4-5 พันล้าน รวมทั้งกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แถบทวีปแอฟริกาใต้ที่กำลังตื่นตัวในเรื่องอาหารเสริมสุขภาพ” ฐิติรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
 

      นี่คือเมล็ดผลความพยายามของ ฐิติรัตน์ ศักดาปรีชา ที่กำลังพาแบรนด์อะโวคาโดสัญชาติไทยไปในตลาดโลก
 


 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย