รู้หรือไม่? ป้ายโฆษณาแบบไหน เสียภาษีถูกกว่ากัน

TEXT : กองบรรณาธิการ




               
           ส่วนประกอบสำคัญของการทำธุรกิจขึ้นมาสักหนึ่งอย่าง นอกจากการตั้งชื่อร้านที่เหมาะสมแล้ว การติดตั้งป้ายชื่อร้านชื่อธุรกิจ ไปจนถึงป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยดึงดูดและทำให้ลูกค้าสนใจในตัวสินค้าและบริการของเราเพิ่มมากขึ้นก็ได้ ช่วยให้หน้าร้านดูสวยงาม และยังเป็นการแจ้งบอกตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจด้วย
               

           แต่ใช่ว่านึกอยากจะขึ้นป้ายอะไร ก็สามารถติดตั้งได้เลยนะ หากไม่ศึกษาให้ดีก่อน ระวังอาจเจอภาษีป้ายราคาสูงลิ่วแบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้ วันนี้เราจึงพามาทำความรู้จักกับระเบียบการขออนุญาตติดตั้งป้าย จนถึงอัตราค่าภาษีป้ายกัน





รู้ก่อนติดป้าย

 
               
          อันดับแรก เพื่อการวางแผนเลือกรูปแบบป้ายที่เหมาะสมกับธุรกิจ ลองมาทำความรู้จักกับประเภทของป้ายและอัตราการเสียภาษีป้ายกันก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วป้ายอาจมีอยู่หลายชนิด เช่น ป้ายบอกชื่อร้าน ชื่อแบรนด์ เครื่องหมายการค้า โปรโมชั่น หรือป้ายเพื่อการโฆษณา แต่สุดท้ายแล้วจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะและเรียกเก็บค่าภาษีตามอัตราที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้ (อัพเดตล่าสุดจากกฎกระทรวงมหาดไทย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2564 จนถึง 31 ธันวาคม 2566)
 

  • ป้ายที่มีอักษรไทยล้วน



         หากเป็นข้อความคงที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จะคิดภาษีป้ายในอัตรา 5 บาท ต่อ 500 ตร.ซม
หากเป็นข้อความเคลื่อนที่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ เช่น ป้ายไฟ จะคิดภาษีในอัตรา 10 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
 

  • ป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ หรือปนกับภาพและเครื่องหมายอื่น



         หากเป็นข้อความคงที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จะคิดภาษีป้ายในอัตรา 26 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
หากเป็นข้อความเคลื่อนที่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ เช่น ป้ายไฟ จะคิดภาษีในอัตรา 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
 

  • ป้ายที่ไม่มีอักษรไทย หรือป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ



        หากเป็นข้อความคงที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จะคิดภาษีป้ายในอัตรา 50 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
หากเป็นข้อความเคลื่อนที่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ เช่น ป้ายไฟ จะคิดภาษีในอัตรา 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
 

         โดยป้ายทุกประเภทเมื่อคำนวณพื้นที่ของป้ายแล้ว ถ้ามีอัตราที่ต้องเสียภาษีต่ำกว่าป้ายละ 200 บาท ให้เสียภาษีป้ายละ 200 บาทเป็นขั้นต่ำ
               

สรุป
               

           จากข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จึงพอสรุปได้ว่าถ้าเลือกใช้ภาษาไทยล้วนราคาจะถูกที่สุด (ประเภทที่ 1) ถ้าเป็นภาษาอังกฤษล้วนหรือมีภาษาไทยผสมด้วย แต่จะอยู่ข้างล่างภาษาอังกฤษจะเป็นประเภทที่มีราคาแพงที่สุด (ประเภทที่ 3)


        ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดร้านค้าหรือธุรกิจต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษใส่ลงไปในป้ายด้วยนั้น มักจะชอบใส่ภาษาไทยตัวเล็กๆ ไว้อยู่มุมบนของป้าย ก็เพื่อลดการจ่ายภาษีให้ถูกลงมานั่นเอง (ประเภทที่ 2)


 

ป้ายที่ได้รับยกเว้นภาษี

 
               
        ใช่ว่าจะมีแต่ป้ายที่ต้องเสียภาษีเท่านั้น ยังมีป้ายอีกหลายประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี โดยในที่นี่จะขอกล่าวถึงเฉพาะป้ายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจเท่านั้น ได้แก่

  • ป้ายที่ติดตั้งในอาคาร (รวมถึงป้ายร้านค้าต่างๆ ในห้างสรรพสินค้าด้วย แต่ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 3 ตร.ม.)

 

  • ป้ายที่มีล้อเลื่อน (ต้องมีการเลื่อนป้ายเข้าออก)

 

  • ป้ายจัดงานอีเวนต์

 

  • ป้ายโรงมหรสพ

 

  • ป้ายที่แสดงไว้ที่ตัวสินค้า

 

  • ป้ายธุรกิจการเกษตร ซึ่งมีการค้าผลผลิตจากการทำเกษตรของตนเอง

 


 

การคำนวณภาษีป้าย

 
               
        ข้อควรรู้ต่อมา คือ การคำนวณอัตราภาษีป้ายที่จะต้องจ่าย ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้

     
        พื้นที่ที่ต้องเสียภาษี (กว้าง x ยาว ซม. / 500 ตร. ซม.) x อัตราภาษีป้ายแต่ละประเภท

 

         ยกตัวอย่าง เช่น ป้ายขนาดกว้าง 1 เมตร x ยาว 1.5 เมตร คำนวณได้ดังนี้
               

 
                   (100 ซม. X 200 ซม.) / 500 ตร.ซม. =  40 ตร.ซม.


  • ป้ายประเภทที่ 1 ต้องจ่ายภาษี 40 x 5  = 200 บาท

 

  • ป้ายประเภทที่ 2 ต้องจ่ายภาษี 40 x 26  = 1,040 บาท

 

  • ป้ายประเภทที่ 3 ต้องจ่ายภาษี 40 x 50  = 2,000 บาท

 

        (หมายเหตุ 1 ป้าย =  1 ด้าน ถ้าป้ายเดียวกัน แต่มี 2 ด้าน ก็ต้องเสีย 2 ครั้ง)
               

        โดยในแต่ละปีผู้ประกอบการธุรกิจสามารถชำระภาษีป้ายได้ตั้งแต่มกราคม – มีนาคมของทุกปี ผู้ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีป้าย ก็คือ หน่วยงานปกครองท้องถิ่น เช่น เทศบาลตำบล หรืออบต. ซึ่งโดยปกติแล้วก่อนติดตั้งต้องมีการไปยื่นขออนุญาตก่อน แต่ถึงใครจะติดตั้งไปก่อนแล้ว ภายหลังก็จะมีเจ้าหน้าที่รัฐทำการสำรวจและเรียกจัดเก็บภาษีเอง ซึ่งหากไม่ได้ศึกษารูปแบบมาให้ดีอาจทำให้เสียภาษีแพงเกินกว่าความจำเป็นในการใช้งานก็ได้ ดังนั้นแล้วควรหาข้อมูลหรือขอคำปรึกษาจากผู้รู้ก่อนจะดีกว่า





กฎหมายป้าย

               

  • ห้ามติดตั้งป้ายในบริเวณหรือพื้นที่ที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นได้ อาทิ ติดตั้งในบริเวณที่คร่อมถนน ใกล้เสาไฟฟ้า ต้นไม้ เป็นต้น

 

  • หากไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีในเวลาที่กำหนดจะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 ของเงินที่ต้องเสียภาษีป้าย

 

  • หากยื่นแบบรายการป้ายไม่ถูกต้อง ทำให้เสียภาษีป้ายต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 10 ของเงินที่ต้องประเมินเพิ่ม

 

  • หากไม่ชำระภาษีป้ายภายในระยะเวลาที่กำหนด จะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษีป้าย (ไม่นำเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มจากข้อ 1 และ 2 มารวมเพื่อคำนวณซ้ำ)

 

  • ผู้ใดจงใจไม่ยื่นแบบแสดงรายการป้าย ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท

 

 

 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย