TEXT : Neung Cch.
สิ่งหนึ่งที่คล้ายกันระหว่างนักว่ายน้ำกับนักธุรกิจนั่นก็คือต่างต้องการไปให้ถึงเส้นชัยด้วยเวลาที่เร็วที่สุด
ถ้าอยากเป็นนักว่ายที่ดีว่ายน้ำได้เร็วคุณก็ต้องรู้เทคนิคหลักสองอย่างคือ 1. ต้องลดแรงดึงของน้ำให้ได้ กับ 2. ต้องเพิ่มแรงขับของน้ำให้ได้ ส่วนถ้าคุณอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ไวควรจะมีสองอย่างนั่นคือ ทำในสิ่งที่ชอบ และทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่
เหมือนกับที่หนุ่มโบ๊ท สาโรจน์ แสงทองอุไรไพศาล ที่สามารถซื้อบ้านหลังแรกตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย และในวัยที่เริ่มต้นเข้าสู่เลข 3 เขากำลังนำพา บริษัท ส. แสงทอง การช่าง จำกัด ขึ้นทำเนียบธุรกิจร้อยล้านภายในสิ้นปีนี้ CEO หนุ่มคนนี้ทำได้อย่างไร SME Thailand Online จะพาไปถอดรหัสความสำเร็จเถ้าแก่ร้อยล้านกัน
ชีวิตเริ่มจากท่าฟรีสไตล์
ถ้าการศึกษาเปรียบเสมือนการวางรากฐานชีวิต สาโรจน์คงเริ่มออกตัวแบบฟรีสไตล์โดยเฉพาะในช่วงเรียนมัธยมต้นนั้นที่ใช้ชีวิตแบบอิสระ ติดเพื่อน และยังไม่มีเป้าหมาย แม้ตัวเองจะสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สายวิทย์-คณิต ได้ แต่กลับขออาจารย์ย้ายไปเรียนสายศิลป์-สังคมตามเพื่อน
ได้ใกล้ชิดกับเพื่อนแต่เริ่มห่างจากเก้าอี้ห้องเรียน ทำให้หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ต้องพลาดที่จะเรียนต่อโรงเรียนตำรวจ แต่ยังโชคดีที่ท้ายที่สุดยังสามารถไปสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล แต่ก็ต้องลุ้นแทบขาดใจเพราะเขาสอบติดด้วยคะแนนอันดับบ๊วย
“สมัยเรียนชั้นมัธยมผมเกเร ติดเพื่อนมาก แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ปรับตัวเป็นคนละคนคบแต่เพื่อนดีๆ และก็เริ่มมองถึงอนาคต วางแผนมากขึ้นเริ่มทำธุรกิจไปจองใบซื้อบ้านเพื่อมาปล่อยขาย”
ผลจากการปรัวตัวทำให้จากคนที่เกือบสอบเข้าเรียนไม่ได้ กลายเป็นผู้ที่สามารถคว้าเกียรตินิยมมาครองได้ในวันรับปริญญา และยังได้ทำงานสอนหนังสือ พร้อมกับเปิดโรงเรียนรับจ้างสอนว่ายน้ำตามบ้าน ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นเจ้าใหญ่สุดในกรุงเทพฯ จนมาช่วงสองปีหลังมาเจอโควิดที่ธุรกิจว่ายน้ำได้รับผลกระทบ เขาจึงเบนเข็มมาที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
“พอดีมีคนต้องการเช่าบ้านผมก็เลยต้อง renovate บ้าน จึงได้ติดต่อช่าง ตอนนั้นก็เป็นเหมือนกึ่งผู้รับเหมากึ่งเจ้าของบ้าน ทั้งซื้อของช่วยจัดการ ตอนช่างทำบ้านผมก็ไลฟ์สดลงเฟซบุ๊ก เพื่อนเห็นก็เอาไปแชร์ตามกลุ่มก็เริ่มมีคนติดต่อให้ไปทำงาน”
ขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งที่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ในบ้านเราให้ความสำคัญกันมาก ก็คือขั้นตอนของพิธียกเสาเอก เชื่อว่า การทำพิธียกเสาเอกจะทำให้งานก่อสร้างมีความราบรื่นไม่มีปัญหาและอุปสรรคและ เมื่อได้เข้าอยู่บ้านหลังที่สร้างแล้วจะทำให้อยู่เย็นเป็นสุข
จากท่าฟรีสไตล์เมื่อมาถึงวัยกลางคน สาโรจน์ ก็เริ่มโฟกัสกับตัวเองมากขึ้นโดยมีโควิดเป็นตัวเร่งและช่วยให้เขาเจอทางออกได้เร็วขึ้น ว่าตัวเขาชอบการทำธุรกิจมากกว่าการสอนหนังสือ
“ผมมีแค่สองมือถ้าแบ่งมือหนึ่งไปทำธุรกิจโรงเรียนสอนว่ายน้ำ ก็ต้องถูกกระจายความสามารถไป ปัจจุบันตัวเองเป็นผู้ถือหุ้น จ้างผู้บริหารมาบริหารโรงเรียนสอนว่ายน้ำ ส่วนตัวผมเองก็มาผมทุ่มเทให้กับบริษัท ส. แสงทอง การช่าง แรงกายแรงใจทุกวัน 7 วัน เกือบ 24 ชั่วโมง ขนาดเวลานอนยังละเมอฝัน ผมเต็มที่กับมันมาก”
ถามว่าเต็มที่ขนาดไหนแม้วันนี้เขาจะมีบทบาทเป็นถึง CEO แต่ก็ยังทำหน้าที่เป็นยูทูบเบอร์ด้วยเหตุผล คือ เป็นการสร้าง Personal Branding เหมือนการขายตัวเองเพราะถ้าเมื่อใดที่ขายตัวเองได้การขายสินค้าทำได้ง่ายขึ้น
“ตอนทำยูทูบผมเริ่มจากใช้มือถือเดินถ่ายเองคิดสคริปต์เองทุกอย่าง ค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้มันไป จุดสำคัญสุดคือ รู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร สื่อสารโดยใช้ภาษาเข้าใจง่ายๆ เช่น คานปลายยื่น (Cantilever Beam) ที่ใช้กันในวิศวกรเราก็พูดแบบบ้านๆ ว่าคาน แต่บางครั้งก็ต้องมีพูดวิชาการบ้างให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งทุกคลิปที่ผมทำนั้นต้องให้ความรู้ ให้คนดูได้ประโยชน์มากสุด”
ในขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่ต่างได้รับผลกระทบจากโควิด อสังหาริมทรัพย์ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ก่อนมีเหตุการณ์โควิดประชาชนสามารถกู้ซื้อบ้านได้ 110 เปอร์เซ็นต์ ทำให้คนซื้อบ้านน้อยลง รวมถึงงานตกแต่งบ้านก็น้อยลงเช่นกัน
“เงินไม่ได้หายไปไหนหรอก มันแค่เปลี่ยนที่อยู่มาในโลกออนไลน์ ฉะนั้นคนที่ไม่ได้เปลี่ยนตามยุคตามสมัยเกิดปัญหา จะหาเงินไม่เจอ ถ้าเขารู้ว่าเงินอยู่ตรงไหน เอาตัวเองมาอยู่ตรงนั้นหาเงินได้ไม่ยาก เหมือนที่ผมทำยูทูบทำให้ได้เจอลูกค้ามากขึ้น”
หากใครได้เห็นสาโรจน์ผ่านช่องยูทูบหรือแม้แต่ได้เจอตัวจริงอาจจะเกิดความสงสัยไม่ต่างจากเพื่อนเขาที่คิดว่าช่างเป็นคนที่โชคดีไม่มีปัญหาในการทำงาน
“ปัญหามีทุกวัน แต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำคัญที่สุด และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทุกวันทำให้เราเก่งขึ้น เหมือนเราเล่นเกมผ่านด่านนี้ได้แล้วเล่นครั้งต่อไปก็ง่าย ผมก็เลยมองว่าปัญหาเป็นเพื่อนผม ดีกว่ามองว่าเป็นเรื่องเครียดไปทำร้ายตัวเราขาดทุนนะ วิชาหนึ่งที่อยากให้โรงเรียนสอนคือ การมีไหวพริบเอาตัวรอดได้ในทุกปัญหา”
หากไม่มีอะไรผิดแผนสาโรจน์บอกว่า บริษัท ส. แสงทอง การช่าง ก็จะเปลี่ยนนามสกุลเป็นมหาชนจำกัดในอีกห้าปี
“ถ้าเป็นไปตามเป้าสิ้นปีนี้บริษัทต้องมีรายได้ 100 ล้านบาท ในปีหน้ารายได้จะขยับขึ้นไป 20-30% ภายใน 5 ปียังเติบโตแบบนี้ ปรึกษากับบัญชีวางแผนนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นภาระหนักอึ้งมาก การที่เราโตขึ้น พนักงานเราก็เยอะขึ้น มาตรฐานเราต้องสูงขึ้น บุคลากรเราต้องเก่งขึ้น มันจะต้องดีทั้งหมดไม่ใช่ดีเฉพาะยอดขาย เติบโตแบบยั่งยืนสำคัญมาก”
แม้จะเป็นภาระที่หนักแต่เป็นภาระที่หนุ่มวัย 30 ปีอย่างสาโรจน์ภูมิใจที่เป้าหมายการเป็นเถ้าแก่ร้อยล้านของเขากำลังเป็นจริง
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี