รู้จัก Mariage Frères ชาดังจากฝรั่งเศส อายุ 300 ปี ที่มีนักธุรกิจไทยเป็นผู้สืบทอดกิจการ

TEXT : กองบรรณาธิการ



       หากเอ่ยถึงชาดังระดับโลก “Mariage Frères” (มาคิยาจ แฟรส์) จากฝรั่งเศส คือ หนึ่งในสุดยอดของชาที่ดีที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก ถึงขั้นเคยมีคนเปรียบเปรยว่าเป็น Louis Vuitton หรือ Hermès แห่งวงการชาเลยก็ว่าได้


         แต่ความน่าสนใจที่เราจะมานำเสนอในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ความพิเศษของชา Mariage Frères ที่มีอายุร่วม 300 กว่าปีเท่านั้น แต่เพื่อหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดธุรกิจผู้สืบทอดศาสตร์แห่งการทำชามาร่วมหลายร้อยปีนี้ กลับมีทายาทผู้สืบทอดคนปัจจุบันเป็นนักธุรกิจชาวไทยที่มีชื่อว่า “กิตติชาติ แสงมณี” ทั้งที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันกันทางสายเลือดมาก่อนเลย 





เหตุเพราะชาลิขิต

 

         จุดเริ่มต้นความเป็นมาของชา Mariage Frères นั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2203 หรือราวสามร้อยกว่าปีก่อนโดยพ่อค้าชาวฝรั่งเศส “นิโกลาส์ มาคิยาจ” ที่ออกเดินทางไปยังดินแดนตะวันออกกลางอย่างเปอร์เซีย เพื่อทำสัญญาการค้าเสาะแสวงหาชาชั้นดี เครื่องเทศ และสินค้าต่างๆ  ตามคำสั่งจากราชวังในยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และบริษัท เฟรนช์ อีสต์ อินเดีย ( Compagnie des Indes )


        กระทั่งยุคต่อมาในปี พ.ศ. 2397 จึงได้จัดตั้งบริษัท Mariage Frères Tea Company ขึ้นมา เพื่อทำธุรกิจเกี่ยวกับชาสืบต่อกันมาเป็นธุรกิจของตระกูล
               



ไม่น่าเชื่อว่าประวัติความเป็นมาของชา Mariage Frères ที่หลายคนยกให้เป็นชาอันดับ 1 ของโลก จะมีความทับซ้อนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไทยด้วย

           โดยหลังจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้มีคำสั่งให้ นิโกลาส์ มาคิยาจ ต้นตระกูลผู้ให้กำเนิดชามาคิยาจ แฟรส์ออกเสาะแสวงหาชาและเครื่องเทศ เพื่อนำเข้ามาในปีพ.ศ. 2203 หลังจากนั้นต่อมาในปีพ.ศ 2229 หรือยี่สิบกว่าปีต่อมา พระยาโกษาปาน ทูตจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งอยุธยาก็ได้เดินทางไปทูลถวายถ้วยชาที่ทำด้วยทองให้แก่พระเจ้าหลุยส์ฯ ซึ่งก็ยิ่งทำให้พระองค์เกิดความสนใจเครื่องดื่มชนิดนี้มากขึ้น




       แต่จุดพลิกผันของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อราวปี  2526 หรือเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อน ที่บังเอิญทายาทคนสุดท้ายของมาคิยาจ แฟรส์ในวัย 80 ปี ได้มารู้จักกับ Richard Bueno ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของกิตติชาติ โดยขณะนั้นมาคิยาจ แฟรส์เอง ก็กำลังต้องการหาผู้มาช่วยดูแลกิจการต่ออยู่พอดี ทั้งสามคนจึงได้ร่วมงานกัน


        ก่อนหน้าที่จะเบนเส้นทางชีวิตมาเป็นคนผลิตชา กิตติชาติ คือ นักเรียนไทยที่เรียนดีคนหนึ่ง ในชั้นอุดมศึกษาเขาจบจากวชิราวุธ มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักการทูต จึงได้สอบเข้าเรียนการทูตที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ใช้เวลาเพียงแค่สามปีกว่าเท่านั้น จากนั้นจึงได้มาเรียนต่อยังมหาวิทยาลัยชอร์บอนน์ประเทศฝรั่งเศสด้านการทูต ทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จนกระทั่งโชคชะตานำพาให้เข้าสู่การเป็นคนทำชาในที่สุด



               


ปลุกชีพชา 3 ศตวรรษ

 

         ก่อนที่กิตติชาติและเพื่อนของเขาจะเข้ามาช่วยดูแลกิจการชาด้วยนั้น ธุรกิจผลิตชาของมาคิยาจ แฟรส์จะเป็นผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว ไม่มีหน้าร้านของตัวเอง เน้นการขายส่งเป็นหลัก แต่เมื่อคนรักชาทั้งสามได้มาเจอกัน ต่างก็นำความสนใจส่วนตัวและความถนัดของตัวเองช่วยกันหาวิธีสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับศาสตร์แห่งการผลิตชาที่สืบทอดกันมาชั่วหลายอายุคนนี้ ให้สมกับคุณค่าที่มีอยู่เผยแพร่ออกไปให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักมากขึ้น
               

       ด้วยการเปิด Tea House ของแบรนด์ขึ้นมาในย่าน Marais กรุงปารีสเมื่อปี พ.ศ. 2529 ให้ผู้คนได้มาใช้เวลาว่างนั่งจิบชายามบ่าย หรือเป็นสถานที่นัดพบเพื่อพบปะพูดคุย ทำให้การดื่มชาเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในฝรั่งเศส จากเดิมที่นิยมดื่มแต่กาแฟ จากผลิตเพื่อขายส่ง ก็มีการคัดเลือกชาเพื่อรังสรรค์เป็นกลิ่นต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์ออกมา โดย Richard ได้เข้ามาดูแลด้านการค้า ส่วนกิตติชาติได้เข้ามาเรียนรู้ศาสตร์แห่งชาและดูแลการสร้างแบรนด์ การจัดหน้าร้าน ออกแบบแพ็กเกจจิ้ง และทดลองออกแบบรสชาติใหม่ๆ
               

         กระทั่งต่อมาเมื่อ Richard หนึ่งในสามผู้ดูแลหลักได้เสียชีวิตลง ขณะที่ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลมาคิยาจ ก็มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ส่งไม้ต่อการดูแลกิจการทั้งหมดไว้ให้กับกิตติชาติ ซึ่งเป็นผู้ที่เขาเชื่อใจว่าจะสามารถสานต่อคุณค่าของแบรนด์และศาสตร์แห่งการผลิตชาที่เก่าแก่ของโลกแบรนด์นี้เอาไว้ได้ กิตติชาติ จึงได้กลายเป็นประธานบริษัทและผู้สืบทอดธุรกิจของมาคิยาจ แฟรส์แต่เพียงผู้เดียวในปัจจุบันนี้





เติมเสน่ห์ชาโลก ด้วยเสน่ห์แบบไทยๆ

 
               
      ไม่เพียงสืบทอดต่อเจตนารมณ์ และรักษาคุณค่าของชา Mariage Frères เอาไว้ได้ กิตติชาติยังนำเอกลักษณ์เสน่ห์ความเป็นไทยเข้าไปผสมผสานอยู่ในชามาคิยาจ แฟรส์ให้ทั่วโลกได้รู้จักมากขึ้นด้วย อาทิ ชาเขียวผสมกลีบกุหลาบที่มีชื่อว่า “Thailand Thé des Offrandes” ซึ่งนอกจากการเบลนด์สูตรพิเศษแล้ว ยังมีการนำอักษรไทยเขียนว่า “ชา” ติดลงบนบรรจุภัณฑ์อีกด้วย หรือจะเป็น Paris-Bangkok Tea ชาดำที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นแบบไทยและชาอู่หลงผสมเข้าไปด้วย
               

         โดยจากหน้าร้านแห่งแรกที่เปิดดำเนินการนั้น มาคิยาจ แฟรส์ มีสูตรชาอยู่เพียง 250 สูตรเท่านั้น แต่จากการพัฒนาของกิตติชาติทำให้ปัจจุบันนี้แบรนด์ได้มีการเบลนด์ชาออกมาเป็นรสชาติและกลิ่นต่างๆ ออกมามากกว่า 650 สูตรทีเดียว
               

       ปัจจุบันมาคิยาจ แฟรส์ มีสาขาทั้งสิ้น 14 แห่งด้วยกัน ได้แก่ ปารีส 6 สาขา, ญี่ปุ่น 5 สาขา, เยอรมนี 2 สาขา และอังกฤษ 1 สาขา




รู้ไหมว่าร้านชาของ Mariage Frères เคยเปิดต้อนรับคนดังในแวดวงต่างๆ มานักต่อนักแล้ว อาทิ คลอเดีย ชิฟเฟอร์ ที่มักเดินทางมาบ่อยๆ ในช่วงร้านเปิดแรกๆ จนมีแฟนคลับมาฝากส่งจดหมายไว้ให้, ฮิวจ์ แจ็กแมน, ซีนาดีน​ ซีดาน ที่มาต่อคิวซื้อชาให้กับภรรยา, รีส วิทเธอร์สปูน, มาดอนน่า หรืออิซาแบลล์ อัดจานี ดาราฝรั่งเศส ก็มีโต๊ะประจำอยู่ที่นี่


               

        สำหรับในไทยเองได้มีการนำเข้าชามาคิยาจ แฟรส์ครั้งแรก โดย “ดีน แอนด์ เดลูก้า” (Dean & Deluca) ร้านอาหารขนมและเครื่องดื่มที่แตกสาขามาจากนิวยอร์ก ในฐานะตัวแทนผู้ค้าปลีกรายแรกของมาคิยาจ แฟรส์ในประเทศไทย โดยเริ่มนำเข้ามาเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2559


       จากนั้นก็มีการนำมาให้ได้ลิ้มลองกันอยู่เรื่อยๆ ในวงการร้านอาหารของบ้านเรา เพื่อเสริมจุดเด่นให้กับธุรกิจ อย่างเมื่อปลายปีที่แล้วก็มีการนำไปเสิร์ฟอยู่ในห้องล็อบบี้ของโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ เพื่อความพิเศษให้กับกิจกรรมจิบน้ำชายามบ่าย โดยมีการเบลนด์รสชาติและกลิ่นเฉพาะสูตรพิเศษขึ้นมาด้วย


         ปัจจุบัน กิตติชาติยังคงทำหน้าที่สืบทอดกิจการชา Mariage Frères อยู่ในมหานครใหญ่ แม้รัฐบาลฝรั่งเศสจะยินดียอมให้เขาเป็นพลเมืองฝรั่งเศสมานานแล้ว แต่กิตติชาติก็ยังยินดีและภูมิใจที่จะถือสัญชาติไทยเหมือนเช่นเดิม
 


ที่มา : Vogue.co.th, นิตยสาร Hello, Pantip




 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย