ตั้งแต่ปี 2563 สินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการเติบโตขึ้นมากเพราะความต้องการของผู้บริโภคในช่วงโควิด-19 แต่เอาเข้าจริงบริษัทเหล่านี้กลับไม่สามารถสร้างรายได้หรือทำกำไรได้มากเท่าที่คิดเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเหล่านี้
- พลาสติก +200%
- ถั่วเหลือง +60%
- ข้าวสาลี (Wheat) +10%
- ข้าวโพด +67%
- ไม้สำหรับแปรรูป +200-300%
ซึ่งราคาที่พุ่งสูงนั้นมาจาก 3 ปัจจัย นั่นก็คือ
1. อัตราเงินเฟ้อ ราคาสินค้าจำนวนมากพุ่งขึ้นและคาดว่าจะยังคงสูงต่อเนื่องเพราะการหยุดชะงักของซัพพลายเชนทั่วโลกในช่วงการระบาด และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายความต้องการของผู้บริโภคก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินขีดความสามารถในการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น บางสินค้าเพิ่มมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นความภักดีต่อแบรนด์ลดลง ต้องอยู่บ้านมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภค 25-40 เปอร์เซ็นต์ได้ลองใช้แบรนด์ใหม่ๆ ตั้งแต่โควิดเริ่มระบาด ซึ่งเห็นได้ว่าโปรโมชั่นมีความสำคัญในการดึงดูดให้ลูกค้าเปลี่ยนแบรนด์
ขณะเดียวกันผู้ผลิตก็ต้องเปิดช่องทางออนไลน์ เพราะผู้บริโภคหันไปซื้อของทางนั้นมากขึ้น จะเห็นได้ว่าการค้าปลีกออนไลน์เติบโตมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในบางหมวดหมู่
3. ราคาตลาด จากข้อมูลของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นว่าราคาอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์นับจากมกราคมปี 2555 ถึงมกราคม 2563 ซึ่งน้อยกว่าราคาสินค้าประเภทอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 17 เปอร์เซ็นต์
จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของตลาดและผู้บริโภค ทำให้ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต้องทบทวนกลยุทธ์กันใหม่ ทั้งการกำหนดราคา ลดต้นทุน ไปจนถึงตามให้ทันพฤติกรรมผู้บริโภค เพราะราคาก็เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ หากชะล่าใจไปแล้วล่ะก็ ผลิตสินค้าวางขายไปลูกค้าอาจจะส่ายหน้าเพราะแพงเกินไป
ที่มา : www.mckinsey.com
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี