TEXT : Surangrak Su.
PHOTO : PhanMaBa, Chounan
ด้วยสถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับให้ผู้ประกอบการต้องสู้ยิบตา ถ้าไม่สู้ก็ไม่รอด ฉะนั้นตอนนี้ต้องพยายามทำทุกวิถีทาง เรียกว่าหากยังมีลมหายใจก็ต้องยื้อกันไปให้ถึงที่สุด ซึ่งจากวิกฤติที่ต้องต่อสู้กันมาอย่างยาวนานจากการระบาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของไวรัสโควิด-19 นี้ อาจทำให้ผู้ประกอบการหลายคนเกิดความอ่อนล้า รูปแบบการต่อสู้ที่ได้เห็นในวันนี้จึงดูเข้มข้นขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็กลับเรียบง่าย เรียกว่าอะไรที่ทำแล้วได้เงิน ก็ต้องคว้าเอาไว้ก่อน เป็นการต่อสู้แบบไร้กระบวนท่าที่ไม่ต้องเอาทฤษฎีอะไรมาอ้างอิง นอกจากเอาตัวรอดให้ได้
ซึ่งจากที่ได้ติดตามข่าวสารบนโลกโซเชียล ได้เห็นมุมมองความคิดที่น่าสนใจของผู้ประกอบการธุรกิจหลายราย วันนี้เราจึงขอหยิบนำมาเล่าต่อให้ฟังจาก 2 เคสตัวอย่างของ 2 ผู้ประกอบการที่มีวิธีการรับมือจากวิกฤตแตกต่างกันไป จะเป็นใครนั้นลองไปดูกันเลย
เคลียร์สต๊อกให้หมด เปลี่ยนสิ่งของให้กลายเป็นเงิน
ผู้ประกอบการคนแรกที่เราขอหยิบนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ คือ “ชาติ กอบจิตติ” หลายคนอาจรู้จักชื่อเสียงของเขาดีในฐานะนักเขียนรางวัลซีไรต์ชื่อดังและศิลปินแห่งชาติที่มีผลงานการเขียนออกมามากมาย หนึ่งในนั้น ก็คือ “พันธุ์หมาบ้า” นวนิยายสุดคลาสสิกของวัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งกับความรักในผองเพื่อนที่เป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ในอีกมุมหนึ่งเขายังเป็นผู้ประกอบการเล็กๆ รายหนึ่งจากการสร้างแบรนด์ “PhanMaBa” ตามอย่างชื่อหนังสือขึ้นมาด้วย เพื่อผลิตสินค้าออกมามากมายให้เหล่าแฟนคลับและผู้ที่ชื่นชอบในรสนิยมเดียวกันที่ศรัทธาใน “ของดี” ได้นำไปใช้ ตั้งแต่เสื้อยืด เสื้อโปโล กระเป๋าผ้า กางเกงยีนส์ ไปจนถึงรองเท้าผ้าใบ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้โลโก้ตราหมา
แต่ล่าสุดไม่ว่าใคร ก็ต้านวิกฤตที่ยาวนานแบบนี้ไม่ไหว ชาติ กอบจิตติ ได้โพสต์เล่าถึงยุทธวิธีในการเอาตัวรอดของธุรกิจเขาให้ฟังไว้ในหน้าเพจ PhanMaBa ตั้งแต่เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จั่วหัวข้อว่า “เรื่อง (เล่า) แบรนด์ของผม” ซึ่งเขาแจ้งว่าจะคิดว่าเป็นภาคต่อจากในหนังสือชื่อเรื่องเดียวกันที่เขียนไว้ก็ได้
โดยตั้งแต่เมื่อต้นปี 2563 ที่เริ่มได้รับผลกระทบ ร้านสาขาทยอยปิด เพราะยอดขายไม่มี ไม่มีคนเข้าร้าน สิ่งที่เขาเลือกทำในวินาทีแรก ก็คือ สำรวจเงินออมที่มี จากนั้นเรียกประชุมพนักงานและบอกกับทุกคนว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ ทุกคนต้องอยู่รอดต่อไปได้ ไม่ต้องหางานใหม่
สิ่งที่ทำต่อไป คือ เรียกเก็บสินค้าจากร้านสาขาต่างๆ เข้ามารวมกันที่ส่วนกลางในออฟฟิศทั้งหมด เพื่อหันมาทำการค้าออนไลน์แบบจริงจัง เน้นนโยบายไม่ผลิตของเพิ่ม แต่จะขายของเดิมที่มีอยู่ให้หมด จนในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นเงิน แถมปลายปียังมีโบนัสและเตรียมขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานทุกคนในต้นปีได้
แต่แล้วจากความหวังที่ตั้งเอาไว้ ก็มีอันต้องสะดุดอีกครั้งจากการระบาดระลอก 2 และ 3 ตามมาติดๆ จากที่เคยวางแผนธุรกิจล่วงหน้าเป็นปีๆ เขาต้องเปลี่ยนมาวางแผนรายไตรมาส รายเดือน และรายสัปดาห์กันเลยทีเดียว เพื่อวางแผนทำยังไงก็ได้ให้มีรายได้เข้ามา โดยเปรียบว่าเหมือนกับการแข่งกีฬาชกมวยที่ต้องมีการวางแผนชกในแต่ละยกให้ชนะผ่านไปได้ เพื่อสุดท้ายแล้วพอมาคิดคะแนนรวมเขาจะได้เป็นผู้ชนะในที่สุด
การต่อสู้กับวิกฤตระลอกใหม่ เขายังคงยึดนโยบายเดิม คือ ไม่ผลิตของใหม่เพิ่ม พยายามลีนตัวเองเคลียร์สต๊อกที่มีอยู่ทุกอย่างออกไปให้หมด แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามา คือ โปรโมชั่นที่ถี่ขึ้น มีการจัดชุดสุดคุ้มเฉพาะกิจ การลดราคาสินค้าที่มีตำหนิ ทำให้นอกจากช่วยระบายสินค้าออกไปแล้ว ยังเป็นการช่วยเปิดช่องทางให้กับลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาด้วย เพราะเมื่อสินค้าราคาถูกทำให้ใครๆ ก็กล้าทดลองใช้ เมื่อพบว่าใช้แล้วดี จึงกล้ากลับมาซื้อซ้ำถึงแม้ไม่ลดราคาก็ตาม
ไม่น่าเชื่อว่าวิธีการดังกล่าวนอกจากจะทำให้เขามีรายได้ประคองธุรกิจและทีมงานต่อไปได้แล้ว ยังทำให้มีเงินเก็บสะสมทุกเดือน จากเดิมที่ไม่เคยมี ทั้งที่ขายดี เพราะนำไปลงทุนใหม่หมด
จัดโปรฯ ซื้อ 1 ช่วยอีก 1 ธุรกิจรอด สังคมได้เยียวยา
อีกหนึ่งรายที่อยากนำมาเล่าให้ฟัง คือ แบรนด์ร้านข้าวหน้าเนื้ออย่าง “Chounan” ที่มีสาขาอยู่ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ โดยตั้งแต่โควิดระลอกแรก เราเห็นถึงความพยายามในการปรับตัวและเอาตัวรอดให้กับธุรกิจของ “กุลวัชร ภูริชยวโรดม” เจ้าของแบรนด์มาโดยตลอด ตั้งแต่การลีนตัวเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, การปรับตัวเปลี่ยนจากขายหน้าร้านหันมาให้บริการเดลิเวอรีมากขึ้น จนได้ทดลองสร้างแพลตฟอร์มดิลิเวอรีของตัวเองขึ้นมา
จนเมื่อการระบาดรอบสองเริ่มเข้ามา สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้น กฎระเบียบข้อบังคับออกมาเยอะขึ้น เช่น การห้ามนั่งรับประทานในร้าน หรือให้สามารถนั่งรับประทานได้ได้แค่ 25 เปอร์เซ็นต์ก็ดี ทำให้กุลวัชรคิดสร้างโมเดลธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว ด้วยการหันมาขายชูชิเริ่มต้นคำละ 10 บาทที่หน้าร้าน เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้นให้กับลูกค้า ทำให้ราคาสามารถจับต้องได้ง่ายขึ้น จนกลายมาเป็นรายได้ที่เข้ามาช่วยพยุงธุรกิจให้อยู่รอดได้
ซึ่งระลอกสองว่าหนักแล้ว ระลอกสามจนถึงปัจจุบันนี้ยิ่งหนักหน่วงเข้าไปอีก เมื่อร้านอาหารในห้างถูกสั่งปิดอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่ห้ามนั่งกินในร้าน แม้แต่เข้าไปเปิดครัว เพื่อทำอาหารจัดส่งให้ลูกค้า ก็ไม่สามารถทำได้ โมเดลแทบทุกอย่างที่เคยทำมามีอันต้องพับเก็บไว้
โดยในช่วงที่ไม่รู้จะไปต่อทางไหนดี ด้วยฝีมือด้านการทำอาหารที่มีอยู่ กุลวัชรจึงคิดหาทางรอดให้ธุรกิจ วินาทีนั้นเรียกว่าอะไรทำขายได้ ก็ทำไปก่อน เขาจึงเปิดโมเดลเฉพาะกิจหันมาทำข้าวกล่องขายเพียงกล่องละ 45 บาท ใช้ชื่อว่า “ข้าวกล่องสู้โควิดโชนัน” ขายเป็นเมนูพื้นฐานง่ายๆ เหมือนกับร้านอาหารตามสั่งทั่วไป โดยใช้ครัวกลางข้างนอกห้างที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวเป็นฐานทัพทำอาหารตามออร์เดอร์ลูกค้า เพื่อจัดสั่งไปให้กับบุคลากรทางการแพทย์, จิตอาสา, หรือชุมชนต่างๆ ที่มีการระบาดอย่างหนัก โดยกำหนดขั้นต่ำการสั่งแต่ละครั้ง คือ 50 กล่องขึ้นไป
หรืออีกหนึ่งแคมเปญที่ทำควบคู่กันไป คือ “ลูกค้าสั่งเท่าไหร่ โชนันช่วยเท่ากัน Season 2” ซึ่งนับเป็นแบรนด์แรกๆ ที่เริ่มต้นจัดโปรโมชั่นแบบซื้อ 1 กล่อง ทางร้านจะช่วยสมทบเพิ่มให้อีก 1 กล่องขึ้นมาตั้งแต่ซีชั่น 1 เมื่อ 2 - 3 ก่อน เพื่อนำไปช่วยบริจาคให้กับองค์กรหน่วยงานและบุคลากรด้านต่างๆ โดยจำหน่ายในราคากล่องละ 139 บาท เป็นเมนูปกติภายใต้แบรนด์โชนัน เรียกว่าแม้จะเป็นรายได้เพียงเล็กน้อยที่เข้ามา แต่ก็สามารถหล่อเลี้ยงธุรกิจและพนักงานให้ยังมีงานทำต่อไปได้
แม้ล่าสุดจะมีการผ่อนปรนให้เข้ามาประกอบอาหารในร้านได้ เพื่อจัดส่งในรูปแบบเดลิเวอรี และ Take Away ตามจุดที่จัดไว้ให้ในห้างก็ตาม โดยปัจจุบันนอกจากขายในรูปแบบเมนูอาหารต่างๆ แล้ว ยังมีการจัดเซ็ตแบบ D.I.Y @Home ชุดทำกินเองง่ายๆ ที่บ้านมีวัตถุดิบ และอุปกรณ์พร้อม รวมถึงขายซอสเครื่องปรุงสูตรต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจด้วย
และนี่คือ 2 เคสตัวอย่าง 2 รูปแบบวิธีการต่อสู้ คนหนึ่งใช้ต้นทุนจากสิ่งที่มีอยู่แปลงออกมาเป็นรายได้ ลดรายจ่าย กับอีกคนที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบธุรกิจที่เคยทำมา ขอแค่ให้มีรายได้เข้ามาก่อน อะไรทำขายได้ทำไปก่อน คิดว่าน่าจะพอเป็นประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี