เรียกว่าเป็นเดือนที่ร้อนระอุที่สุดแห่งปีเลยก็ว่าได้ สำหรับอากาศร้อนในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งด้วยอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นเช่นนี้ถือเป็นช่วงพอเหมาะพอดีกับเทศกาลสงกรานต์ ถึงแม้ใน 1 - 2 ปีมานี้อาจไม่คึกคักเหมือนเก่าเพราะด้วยสถานการณ์จากโรคระบาดก็ตาม แต่อย่างไรเสียก็ยังคงมีสินค้าขายดีที่เป็นไอเทมฮอตฮิตตลอดกาลประจำฤดูร้อนและสงกรานต์ออกมาวางจำหน่ายตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ช่วงนี้จึงนับเป็นช่วงพีคขายดีของหลายแบรนด์ว่าแต่มีสินค้าแบรนด์ไทยอะไรบ้างที่ขายดีลองไปดูกันเลย
น้ำอบนางลอย
แน่นอนว่าถ้าพูดถึงวันสงกรานต์ สินค้าไทยแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงจนเหมือนเป็นเอกลักษณ์ประจำเทศกาลสงกรานต์ไปแล้ว ก็คือ น้ำอบนั่นเอง โดยหนึ่งในแบรนด์เก่าแก่ที่จดจำมาจนทุกวันนี้ก็คือ “น้ำอบนางลอย” ซึ่งถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ผู้ให้กำเนิด คือ “นางเฮียง ธ.เชียงทอง” โดยเป็นสินค้ายอดนิยมที่ผู้คนสมัยนั้นใช้กันเพื่อประพรมกลิ่นหอมให้กับร่างกาย ส่วนที่มาของชื่อนั้นได้มาจากตลาดนางลอย ซึ่งเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าครั้งแรก ด้วยคุณภาพและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้บอกต่อกันปากต่อปากและมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา
แม้ปัจจุบันอาจไม่ค่อยมีใครนิยมใช้น้ำอบเพื่อประพรมร่างกายกันแล้ว แต่น้ำอบนางลอยก็ยังคงถูกนำมาใช้ในเทศกาลไทยต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีการสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ไปจนถึงงานพิธีกรรมสำคัญ เช่น งานมงคลสมรส โดยในแต่ละปีนั้นทางแบรนด์จะวางแผนการผลิตทั้งปี เพื่อเน้นขายแค่ในช่วง 3 เดือน คือ กุมภาพันธ์ – เมษายน เพราะยอดขายกว่า 80 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในช่วงนี้ จึงนับเป็นสินค้าขายดีอันดับต้นๆ ที่เราขอยกให้เป็นเบอร์ 1 แห่งเทศกาลสงกรานต์กันเลยทีเดียว
แป้งเย็นตรางู
เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว แป้งเย็นจึงเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่หลายคนมักนึกถึง ซึ่งถ้าพูดถึงแป้งเย็นเบอร์ต้นๆ ที่อยู่ในใจของคนไทยแล้วละก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “แป้งเย็นตรางู” แป้งเย็นกระป๋องเหล็กที่นอกจากจะฮอตฮิตในไทยแล้ว รู้ไหมว่ายังเป็นแป้งเย็นยี่ห้อแรกของโลกด้วย โดยจุดเริ่มต้นที่มาของธุรกิจนั้นกำเนิดขึ้นมาจากห้างขายยาของหมอฝรั่งที่เข้ามาทำธุรกิจอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี 2435 ต่อมาจึงขายกิจการให้กับหมอชาวไทยเชื้อสายจีนที่ชื่อว่า “นายล้วน ว่องวานิช” ซึ่งต่อมาภายหลัง ได้มีการคิดค้นสูตรแป้งเย็นขึ้นมา เพื่อช่วยรักษาอาการผดผื่นคันให้กับคนไข้ ผลปรากฏได้ผลดีเกินคาด แถมยังเย็นสบายตัวจึงเป็นที่เลื่องลือบอกต่อๆ กันมา ภายหลังจึงได้ทำเป็นสินค้าออกขายแป้งเย็นตรางูจึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2490 ส่วนเหตุผลที่มาของกระป๋องเหล็กนั้น ก็เพื่อให้เก็บรักษาความเย็นได้นานยิ่งขึ้นนั่นเอง
โดยนอกจากความคลาสสิกของแป้งเย็นกระป๋องเหล็กดั้งเดิมแล้ว ปัจจุบันแบรนด์ยังพยายามพัฒนาสินค้าสูตรเย็นเพื่อช่วยคลายร้อนอื่นๆ ออกมาตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นสเปรย์ฉีดคลายร้อน ทิชชูเปียกทำความสะอาด เจลอาบน้ำสูตรเย็น ซึ่งไม่เพียงแต่เพื่อช่วยคลายร้อน แต่แป้งเย็นตรางูยังมีสรรพคุณเหมือนแป้งยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นต่างๆ จากอากาศร้อนด้วย สำหรับด้านยอดขายนั้นด้วยความที่เมืองไทยเป็นเมืองร้อนแป้งเย็นจึงเป็นสินค้าที่ขายดีตลอดทั้งปี และมียอดขายพีคสุดก็ในช่วงหน้าร้อนนั่นเอง ซึ่งจากมูลค่าตลาดกว่า 2,000 ล้านบาท แป้งเย็นตรางูถือสัดส่วนกว่า 25 – 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว โดยล่าสุดเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมาแบรนด์ตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 ในตลาดแป้งเย็นด้วยการได้รับรางวัลสุดยอดแบรนด์ไทยแห่งปี “Superbrands Thailand 2018-2019” ด้วย
น้ำหวานเฮลซ์บลูบอย
เมื่อพูดถึงสินค้าช่วยคลายร้อนให้กับผิวกายกันไปแล้ว ลองมาดูในตลาดเครื่องดื่มเย็นๆ คลายร้อนกันบ้าง ซึ่งหนึ่งในแบรนด์เครื่องดื่มรสหวานคลาสสิกของไทยที่อยู่มานานและปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ ก็ต้องยกให้กับ “เฮลซ์บลูบอย” น้ำหวานในขวดแก้วที่อยู่คู่เมืองไทยมากว่า 60 ปี ซึ่งไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามานานเท่าไหร่ทั้งรูปลักษณ์และรสชาติก็ยังคงเดิมเหมือนเก่าไม่เปลี่ยน โดยน้ำหวานขวดแก้วเฮสซ์บลูบอยนั้น ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2502 จากพี่น้อง 4 คนแห่งตระกูลพัฒนะเอนก ซึ่งเริ่มต้นมาจากกิจการร้านโชห่วยเล็กๆ ที่ภายหลังได้มองเห็นโอกาสในธุรกิจน้ำหวาน ซึ่งในขณะนั้นยังถือว่าเป็นสินค้าที่มีอยู่น้อยมากในตลาดเมืองไทย จึงได้ลองคิดค้นสูตรน้ำหวานของตัวเองขึ้นมา
แม้ปัจจุบันจะมีแบรนด์เครื่องดื่มใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่จากการวางตัวเองไว้ในตลาดน้ำหวานเข้มข้น เพื่อเป็นสารตั้งต้นให้ความหวานมาตั้งแต่แรก ไม่ใช่เครื่องดื่มสำเร็จรูป จึงทำให้แบรนด์สามารถยืนยันมาได้จนทุกวันนี้ และด้วยคุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจนเป็นที่ถูกอกถูกใจคนไทย ทำให้แม้ราคาจะสูงกว่าแบรนด์น้ำหวานทั่วไปเล็กน้อย แต่ผู้บริโภคก็ยินดีพร้อมที่จะจ่ายมากกว่า และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้อีกเช่นกันที่ทำให้แม้จะมีสินค้าอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ก็ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถส่งออกไปขายยังหลายประเทศทั่วโลก โดยชูจุดขายที่ความเป็นน้ำหวานเบอร์ 1 ของไทย จึงทำให้ไม่น่าเชื่อว่าจากการขายสินค้าหลักเป็นน้ำหวานขวดแก้วนี้เพียงชนิดเดียวในปี 2562 เฮลซ์บลูบอยจะมีรายได้มากกว่า 3,769 ล้านบาท กำไร 1,099 ล้านบาททีเดียว
เสื้อยืดตราห่านคู่
มาลองดูที่ตลาดเครื่องแต่งกายกันบ้าง ถ้าพูดถึงไอเทมเสื้อผ้าหน้าร้อนนอกจากสายเดี่ยว กางเกงขาสั้นที่ช่วยให้เราใส่สบายตัวคลายร้อนได้แล้ว อีกหนึ่งแบรนด์เสื้อผ้าคลาสสิกที่เรียกว่าเหมาะกับอากาศร้อนบ้านเราและใช้กันมานานหลายสิบปีแล้ว ก็คือ “ตราห่านคู่” เสื้อยืดสีพื้นสุดฮอตของวัยรุ่นไทยทุกยุคทุกสมัยที่เริ่มต้นธุรกิจขึ้นมาตั้งแต่ปี 2496 โดย “นายเจือ ธนสารสมบัติ” เป็นสินค้าที่เกิดขึ้นในยุคแรกๆ ที่มีการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการไทยหันมาผลิตสินค้าขายเอง เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศตามนโยบาย “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ” โดยในสมัยก่อนนั้นมักนิยมใส่เป็นเสื้อทับไว้ด้านในและสวมเสื้อเชิ้ตหรือชุดทำงานทับอีกทีหนึ่ง เพื่อความเรียบร้อย
ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ห่านคู่เป็นเสื้อยืดยอดนิยมตลอดกาลแม้ไม่มีลวดลายสีสันอะไรดึงดูดใจเลย มีอยู่ 2 -3 ข้อ คือ 1. ความเรียบง่ายที่ทำให้สามารถใส่กับเสื้อผ้าได้ง่ายทุกแบบ 2. ผลิตจากผ้าคอตตอนและเทคนิคการตัดเย็บพิเศษ จึงทำให้ใส่แล้วนุ่มสบาย ระบายอากาศได้ดี แถมยังทนทานใส่ได้นานและเหมาะกับอากาศร้อนในบ้านเรา 3. ราคาย่อมเยา เป็นของดีที่ราคาไม่แพง ซึ่งจากเดิมที่มีแค่สีพื้นเบสิก เช่น ขาว ดำ ปัจจุบันก็มีการผลิตให้มีสีสันสดใสหลากหลายมากขึ้น ไปจนถึงแตกไลน์เป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ทำพิเศษออกมาเพียงไม่กี่ตัว ทำให้ยังคงเป็นสินค้ายอดนิยมอยู่ตลอดกาล ซึ่งเห็นเป็นสินค้าเรียบง่ายแบบนี้ แต่ปีๆ หนึ่งสามารถทำรายได้หลายร้อยล้านบาททีเดียว โดยล่าสุดจากข้อมูลสถิติตัวเลขในปี 2562 เสื้อยืดตราห่านคู่มีรายได้อยู่ที่ 607 ล้านบาท กำไร 119 ล้านบาท จึงนับเป็นหนึ่งไอเทมสินค้าหน้าร้อนที่น่าสนใจ และขายดีทำกำไรได้งามนั่นเอง
รองเท้าแตะช้างดาว
มาถึงไอเทมแบรนด์ไทยสุดท้ายที่ขายดีและเหมาะสำหรับหน้าร้อนรวมไปถึงเทศกาลวันสงกรานต์ด้วย ก็คือ รองเท้าแตะ ที่นอกจากสวมใส่สบายช่วยระบายอากาศได้ดีไปเที่ยวไหนก็ได้แล้ว ยังไม่ต้องกลัวเปียกอีกด้วย และแน่นอนหากพูดถึงแบรนด์รองเท้าแตะยอดนิยมตลอดกาลของไทย คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก “ตราช้างดาว” อีกไลน์สินค้าสุดฮอตจากนันยาง ที่ผลิตขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2499 ตามหลังรองเท้าผ้าใบพื้นเขียวนันยางมาไม่นานเท่าไหร่นั่นเอง ด้วยความเรียบง่ายจากการเป็นรองเท้าสีพื้นแถมยังผลิตจากวัตถุดิบยางพารา 100 เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้มีน้ำหนัก ใส่แล้วทนทาน ไม่ลื่นง่าย จนเป็นที่นิยมมาจนทุกวันนี้ โดยรุ่นที่ยอดนิยมที่สุด ก็คือ รุ่นแตะขอบฟ้า หรือพื้นสีขาวขอบน้ำเงิน
แต่เดิมนั้นครั้งหนึ่งหลายคนอาจมองว่าช้างดาว คือ รองเท้าของผู้มีรายได้น้อย เพราะความทนทานและราคาไม่แพง แต่มาในยุคนี้ด้วยความคลาสสิกของแบรนด์ที่อยู่มานานกว่า 60 ปี ไม่มีใครมาแทนที่ได้ บวกกับการรุกสร้างกระแสทำแคมเปญของแบรนด์เองในโลกโซเชียลที่ชักชวนให้คนรุ่นใหม่และคนดังมาสวมใส่รองเท้าแตะช้างดาวในรูปแบบของตัวเองและถ่ายรูปลงมาอวดกัน พร้อมสร้างแฮชแท็กขึ้นมาว่า #ChangDaoStyle จึงทำให้กระแสความนิยมของช้างดาวกลับมาอีกครั้งแบบฉุดไม่อยู่ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะกลับมาฮิตยังไงรองเท้าแตะช้างดาวก็ยังคงอยู่กับวิถีแบบไทยๆ โดยทุกวันนี้ยังคงมีจำหน่ายอยู่ในร้านโชห่วยและช่องออนไลน์มากกว่าจะจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ช้างดาวจึงเป็นเสมือนสินค้าที่ทำให้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างความคลาสสิกในวันวานและความทันสมัยของโลกยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี และจึงเป็นอีกหนึ่งไอเทมขายดีในหน้าร้อนและสงกรานต์นี้ที่เราเชื่อว่าโดนใจผู้บริโภคหลายคนทีเดียว
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี