“วิชัน” สำคัญกว่า “อายุ” คมคิดผู้ประกอบการรุ่นใหญ่ ขับเคลื่อนธุรกิจข้ามยุค

TEXT : กองบรรณาธิการ




               
     ในโลกของธุรกิจถูกขับเคลื่อนผ่านกาลเวลา จากผู้ก่อตั้งกลายเป็นผู้ส่งมอบและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ต่างๆ วิชันที่ผู้ก่อตั้งเคยฝากฝังไว้คือรากฐานสำคัญที่ทำให้แบรนด์มีแนวทางมีเข็มทิศให้เดินหน้าต่อ SME Thailand  รวมคมความคิดของผู้ประกอบการรุ่นเก๋า ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างเชี่ยวกรำ จนมีธุรกิจที่ทุกคนพูดถึงอย่างมากในวันนี้ มาเรียนรู้คมความคิดของพวกเขาไปพร้อมๆ กัน  
 


 
           
“ปัญหาไม่ได้มีไว้ให้วิ่งหนี แต่มีไว้ให้แก้ไขและรับมือ”
 

ชื่อ : "ดร.เจริญ รุจิราโสภณ"
ตำแหน่ง : ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ส. ขอนแก่นฟู้ดส์
อายุ : 74 ปี
         
           
     “ดร.เจริญ รุจิราโสภณ”
แห่ง บมจ. ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ เริ่มสร้างธุรกิจขึ้นมาจากคนงาน 2 คน กับเงินทุนแค่ 3 แสนบาท จนกระทั่งได้เข้าตลาดหลักทรัพย์และเป็นธุรกิจครบวงจรในเวลาต่อมา ทั้งยังมีสินค้าจำหน่ายอยู่ทั่วโลก ตลอดการทำธุรกิจจาก SME เล็กๆ จนเป็นบริษัทมหาชน เขาเจอปัญหาบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยคิดเดินหนีปัญหาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่างเช่น ในตอนที่เจอวิกฤตจากการกู้เงินมาขยายกิจการ เรียกว่าลงทุนไปยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยว ก็ต้องเป็นหนี้สูงถึง 200-300 ล้านบาท เขายอมรับว่า แทบตั้งหลักไม่ได้ และไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ แต่ก็เลือกรับมือปัญหาด้วยการ คิดใหม่ ทำใหม่ ลุกมาตั้งหลักใหม่ เริ่มจากโทรศัพท์ไปหาเจ้าหนี้แต่ละราย แม้จะไม่มีแต่ก็ไม่หนี และขอโอกาสที่จะเคลียร์หนี้ทั้งหมด สุดท้ายก็ค่อยๆ จัดการปัญหา จนสามารถเอาตัวรอดจากหนี้สินครั้งนั้นมาได้สำเร็จ


     “เมื่อเจอวิกฤตคุณต้องเผชิญกับมัน ต้องตั้งสติ เอาปัญหามาวางแล้วแก้ไขเพื่อผ่านไปให้ได้”


     เขาบอกวิธีคิด ในวันที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตระลอกใหม่ และหนักหน่วงไม่แพ้วิกฤตในอดีตอย่างโควิด-19 ซึ่งเขายังคงเชื่อว่า การเผชิญหน้าแบบมีสติ และไม่หนีปัญหาจะทำให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เหมือนที่ ส.ขอนแก่น พิสูจน์ให้เห็นแล้วก่อนหน้านี้



 
 
“จงอย่ายึดติด ทุกวิกฤตผ่านพ้นได้ด้วยใจสู้”

 
ชื่อ : “ศิริวัฒน์ วรเวทคุณวุฒิคุณ”
ตำแหน่ง : เจ้าของแบรนด์ศิริวัฒน์แซนด์วิช อดีตนักลงทุนที่เคยล้มละลายในวิกฤตต้มยำกุ้ง
อายุ : 72 ปี
 
               
     “ศิริวัฒน์ วรเวทคุณวุฒิคุณ” คืออดีตนักลงทุนที่เคยร่ำรวยหุ้น เป็น “มนุษย์ทองคำ” แต่ต้องล้มละลายกลายเป็น “มนุษย์ทองแดง” ในชั่วข้ามคืนหลังวิกฤตต้มยำกุ้งเข้ามาเยือนประเทศไทย จนต้องปลดอีโก้มายืนขายแซนวิชอยู่ข้างถนนเพื่อนำพาตัวเองและพนักงานให้ผ่านพ้นวิกฤต จนเป็นที่มาของแบรนด์ “ศิริวัฒน์แซนด์วิช” ซึ่งยังคงยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ แม้วิกฤตจะผ่านมากว่า 2 ทศวรรษแล้ว
               

      วิกฤตเป็นอย่างไรเขารู้ดีที่สุด เคยถูกปรามาส โดนเทศกิจจับ โดนตำรวจไล่ แต่สามารถฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ได้ เพราะใช้ความอดทนและยอมรับสภาพ เขาว่าคนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ ในเมื่อเขาเลือกทางเดินผิดก็ต้องเปลี่ยนทิศทางใหม่ จากเศรษฐีหุ้น เลยมายืนขายแซนด์วิชเอาตอนอายุ 48 ปี กับหนี้สินอีกเกือบพันล้านบาท เคยขึ้นโรงขึ้นศาล ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เคยกลัวและอับอาย แต่ในที่สุดก็พบว่าทุกปัญหาสามารถผ่านพ้นได้ถ้าใจสู้ 
               

      “หากเกิดปัญหาอย่าไปคิดสั้น มันไม่มีอะไรเลย เพียงแต่เราไปยึดติดเท่านั้นเอง ไปยึดติดก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเรายอมรับว่าเราเดินทางผิดมา ไม่เป็นไรค่อยๆ ทำ ค่อยเป็นค่อยไป ทุกสิ่งมันแค่ชั่วคราว อย่าไปคิดสั้นเลย ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าคนข้างหลังเรา ยังต้องการที่พึ่งพิง วิกฤตเข้ามาในที่สุดก็จะผ่านพ้นไปได้ อยู่ที่ว่าคุณจะสู้หรือไม่สู้เท่านั้นเอง”
               

     วันนี้แบรนด์ ศิริวัฒน์แซนด์วิช ยังเดินหน้าต่อ โดยึดความซื่อสัตย์ ทั้งต่อลูกค้า และคู่ค้า และมีสัจจะ เพื่อนำพาธุรกิจให้เติบโตต่อไปหลังจากนี้
               
 
 
 
“ทำธุรกิจต้องกล้าคิดนอกกรอบ”
 

ชื่อ : ดร.แสงสุข พิทยานุกุล  63 ปี
ตำแหน่ง : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ SMOOTH E และ DENTISTE  
อายุ :   63 ปี
 

     หนึ่งในหัวใจที่จะทำให้แบรนด์ๆ หนึ่งเกิดขึ้นและเติบโตมาได้ คือสิ่งที่เรียกว่าการ “คิดนอกกรอบ” เช่นเดียวกับ เบื้องหลังแบรนด์ SMOOTH E และ DENTISTE จากชายที่ชื่อ “ดร.แสงสุข พิทยานุกุล”  นักสร้างสรรค์ธุรกิจสุดเก๋า ที่เชื่อในเรื่องของความแตกต่าง และกล้าคิดและลงมือทำในสิ่งที่แตกต่าง จนนำพาธุรกิจมาสู่ความสำเร็จได้  
เขาเป็นคนคิดอะไรไม่เหมือนคนอื่น และเชื่อในกลยุทธ์ “Niche Marketing คือการทำตลาดแบบเล็กๆ แต่มีกำไร เล็กๆ แต่อยู่ได้ เขาเป็นคนทำธุรกิจสายหลบ คือหลบบริษัทใหญ่ และหลบการทำเหมือนคนอื่น โดยเลือกสร้างโอกาสในพื้นที่เล็กๆ ของตัวเอง เจอกับความต้องการที่ซ่อนเร้น (Unmet Need) ของผู้คน


     “ให้นึกถึงการขายก๋วยเตี๋ยวชามละร้อย แต่คนกินจะต้องได้ 400 แค่นั้นรับรองคุณขายได้ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ถ้าคุณสามารถทำให้ผู้บริโภคได้ 4 เท่า ถึง 10 เท่า ผมการันตีได้ว่าคุณขายได้แน่นอน” เขาบอกวิธีคิด
                 

      และนั่นคือที่มาของแบรนด์สุดต่างอย่าง SMOOTH E และ DENTISTE ที่แตกต่างทั้งในแง่ของคอนเซ็ปต์ แพกเก็จจิ้ง การสื่อสาร การทดสอบทางการแพทย์ และเน้นวัตถุดิบที่ดีที่สุดในโลก เพราะเชื่อว่าจะทำให้สินค้าอยู่ได้นาน เขาเริ่มสิ่งเหล่านี้ในยุคที่ยังไม่มีใครกล้าทำ คิดนำตลาดเพราะเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่จะเพิ่มแต้มต่อและสร้างความยั่งยืนให้กับแบรนด์ได้
               

     และการเป็นแบรนด์ที่ยังคงติดตลาด สร้างยอดขายได้นับพันล้านบาท เป็นแบรนด์ขายดีทั้งในเกาหลีและญี่ปุ่น ขณะที่ DENTISTE ยังคว้า Cosme Awards เป็นอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นถึง 7 ปีซ้อน เหล่านี้ก็คงพิสูจน์ได้แล้วว่า การคิดต่างจากคนอื่น คือหนทางที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้
               
               
     และนี่คือตัวอย่างคมความคิดของผู้ประกอบการวัยเก๋า ที่ยังคงใช้ได้เสมอไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ประสบการณ์ของพวกเขาเป็นเหมือนของขวัญที่ฝากไว้ให้กับคนทำธุรกิจยุคใหม่ ว่าขอเพียงแค่ คิดต่าง ใจสู้ และไม่วิ่งหนีปัญหา ไม่ว่าจะต้องพาลพบสิ่งใด ธุรกิจก็จะรอดพ้นปลอดภัยและกลับมาประสบความสำเร็จได้เสมอ
 
 



www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย