PHOTO : Mitrijit, ชาญแสงแข็ง
ในพื้นที่ของอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เมืองการค้าเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองจากการเป็นท่าขึ้นเรือขนส่งสินค้านำเข้าส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
แต่ใครเลยจะรู้ว่าในย่านเมืองเก่าที่ไม่ได้มีแหล่งท่องเที่ยวอะไรโดดเด่น เป็นเมืองของการอยู่อาศัยแห่งนี้จะมีร้านกาแฟเล็กๆ เรียบง่ายร้านหนึ่งซ่อนตัวอยู่ชื่อว่า “Mitrijit” (ไมตรีจิต) ร้านกาแฟในรูปแบบสโลว์บาร์ขนาดกะทัดรัด 3.6 x 10.2 เมตร ปลูกสร้างอยู่ในพื้นที่ 1 ไร่ ที่ชอบติดแฮชแท็กประจำตัวว่า #ร้านกาแฟช้าที่ปิดบ่อย
โดยเปิดให้บริการตั้งแต่ 09.30 – 16.30 น. ปิดทุกวันพุธ และวันที่อยากปิด (ติดธุระ) โดยตั้งแต่เปิดมายังไม่เคยลงโฆษณาโปรโมตอะไรเลย แถมในร้านก็ไม่ได้ติดแอร์ ผนังบุด้วยสังกะสี เก้าอี้นั่งก็มีให้นั่งแค่ 5 – 6 ตัว แต่ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นที่รู้จักของคอกาแฟและเบเกอรีโฮมเมดจนกระจายสินค้าไปหลายพื้นที่ทั่วประเทศได้ ลองไปติดตามพร้อมๆ กัน
ฝันของคู่รัก
ไมตรีจิต เป็นร้านกาแฟที่เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจของ ทหาร - มนัสชนก รัตนมณี สถาปนิกหนุ่มและอดีตผู้จัดการสาวโรงเรียนกวดวิชามีชื่อแห่งหนึ่ง คู่รักนักดื่มกาแฟที่ฝันไว้ว่าวันหนึ่งอยากมีร้านเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมา
ก่อนที่จะกลับมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ทั้งคู่ทำงานอยู่ที่ภูเก็ตมาก่อน จนวันหนึ่งหลังจากแต่งงานเมื่อถึงเวลาต้องหาที่ลงหลักปักฐานของชีวิต จึงตัดสินใจกลับมายังท่าบ่อ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของทหาร เพราะชอบในเสน่ห์ของเมืองเก่าและความเงียบสงบของที่นี่ โดยมีที่ดินมรดกตกทอดของมารดาเป็นพื้นที่ให้ปลูกสร้างร้านขึ้นมา
“ตอนนั้นเราไม่ได้ตั้งใจย้ายมาอยู่ที่ท่าบ่อเลยในทันที เริ่มจากลองขอย้ายตำแหน่งมาประจำอยู่ที่โรงเรียนกวดวิชาสาขาจังหวัดอุดรธานีก่อน ซึ่งในวันที่ได้รับโทรศัพท์ข่าวดีว่ามีตำแหน่งว่างสามารถย้ายมาอยู่ได้ ก็เป็นวันที่ทหารถูกเชิญออกจากงานประจำที่ใหม่พอดี เพราะทัศนคติไม่ตรงกับเจ้านาย หลังจากนั้นเราเลยย้ายมาอยู่ที่อุดรธานีกัน
“ระหว่างนั้นคนหนึ่งก็ทำงานประจำไปด้วย คนหนึ่งก็รับฟรีแลนด์บ้าง แต่พองานเริ่มเครียดๆ เราเลยลองเริ่มหาทำอะไรทำก่อน เพื่อเหมือนเป็นการชิมลางไปด้วย เพราะเราทั้งคู่ก็เป็นพนักงานออฟฟิศมาตลอด ไม่เคยค้าขายมาก่อน ถึงจะชอบดื่มกาแฟก็ตาม ก็เริ่มจากทำขนมขายบ้าง มีลองทำแซนวิชไปยืนขายหน้าโรงเรียนบ้าง ทดลองทำไปเรื่อยๆ ถึงไม่ได้อะไรมากมาย แต่ก็ได้เริ่มลงมือทำ
จนวันหนึ่งเมื่อเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวกับงานประจำแล้วจริงๆ วันหยุดก็เลยลองเริ่มขับรถไปท่าบ่อ ลองไปเริ่มจากถางหญ้า ตัดต้นไม้ เพราะตอนนั้นยังเป็นพื้นที่รกร้างอยู่ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจขายของรัก คือ รถโฟล์คเต่าคู่ใจเพื่อเอาเงินมาปรับพื้นที่ ถางป่า จนเป็นพื้นที่โล่งขึ้นมา หลังจากนั้นก็ออกแบบร้านและบ้านหลังเล็กๆ ขึ้นมาตามงบประมาณและกำลังที่เรามีในราคาหลักแสนต้นๆ โดยให้ทหารมาประจำและทดลองขายคนเดียวก่อนอยู่เดือนกว่าๆ จากนั้นเราก็เลยลาออกจากงานประจำและมาทำอยู่ที่นี่เลยด้วยกัน” มนัสชนกเล่าจุดเริ่มต้นธุรกิจใหัฟัง
คว้าอากาศ
ในการเริ่มต้นธุรกิจของทหารและมนัสชนก ทั้งคู่ตั้งโจทย์ไว้ว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ทำแล้วสนุก มีความสุข โดยไม่รู้เลยว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นการคว้าโอกาส หรือคว้าอากาศ แต่ก็ตัดสินใจลงไป เพราะอยากทำ
ในพื้นที่ 1 ไร่ ทหารเลือกที่จะออกแบบร้าน ห้องนอน ห้องน้ำที่อยู่อาศัยของเขาอยู่ในพื้นที่ขนาด 3.6 x 10.2 เมตร ซึ่งพอดีกับความต้องการใช้งานและงบประมาณที่มีราว 165,000 บาทตามที่เขาเคยลงรีวิวในพันทิป โดยทั้งคู่ตั้งชื่อร้านว่า “Mitrijit” โดยนำมาจากอักษรตัว M และ T ในชื่อของทั้งคู่มารวมกัน เพื่อให้รู้สึกถึงความเป็นมิตรเป็นกันเองกับผู้คนที่เข้ามา
ภายในร้านไมตรีจิตมีเก้าอี้นั่งอยู่เพียง 6 – 7 ตัวเท่านั้น หากนึกภาพตามหน้าตาของร้านไมตรีจิตเป็นบ้านเรียบง่ายคล้ายกับบ้านการ์ตูนที่เราเคยวาดกันสมัยเด็กๆ บ้านทรงสี่เหลี่ยมมีหลังคาหน้าจั่วสามเหลี่ยมยังไงอย่างนั้น โดยนอกจากนี้ในร้านยังเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ไม่ติดแอร์
รูปแบบคอนเซปต์ที่ทั้งคู่เลือกนำมาใช้กับร้านกาแฟของตัวเอง คือ สโลว์บาร์ (Slow Bar) คือ ไม่ใช้เครื่องชงไฟฟ้า การทำกาแฟที่นี่จึงค่อนข้างต้องใช้เวลารอสักเล็กน้อย ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็เป็นการช่วยคัดกรองลูกค้าที่เข้ามาไปในตัว โดยเมนูที่ร้านจะมีให้เลือกแค่กาแฟดำหรือกาแฟใส่นมเท่านั้น จะไม่มีคาปูชิโน่ ลาเต้ หรือเอสเพรสโซให้เลือกยาก
“มีหลายครั้งนะที่ลูกค้าขับรถเข้ามา และก็ต้องถอยออกไป เพราะร้านเราไม่ติดแอร์ แต่เราแอบดีใจนะ โล่งใจ เพราะลูกค้ามีสิทธิ์เลือกร้านที่เขาชอบ ส่วนตัวเราก็ได้คัดกรองลูกค้าที่ชอบในลักษณะเดียวกันเหมือนกันเช่นกัน เราไม่ได้ติส แค่พยายามบาลานซ์ความสุขและธุรกิจให้ไปด้วยกันได้ดี ไม่อยากกลับไปเหมือนตอนทำงานประจำ อยากทำในสิ่งที่อยากทำ และเรายังมีความสุข ความสนุกกับมันอยู่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่” มนัสชนกกล่าว
โดยในทุกวันนี้ทหารจะรับหน้าที่เป็นบาริสต้ามือหนึ่ง คอยปรุงกาแฟรสชาติต่างๆ ที่เขาตั้งใจรังสรรค์ขึ้นมาตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดที่ใช้ การเลือกระดับการคั่ว ไปจนถึงการเบลนด์เมล็ดกาแฟผสมรวมกัน โดยในช่วงแรกนั้นเขาได้สั่งกาแฟกับโรงคั่วที่กรุงเทพฯ เป็นผู้ช่วยทำให้ ในภายหลังจึงได้เริ่มลองหัดซื้อเมล็ดดิบมาคั่วและเบลนด์ด้วยตัวเองด้วย ส่งขายผ่านออนไลน์ภายใต้ชื่อ Mitrijit Home Roaster ขณะที่มนัสชนกก็ทดลองทำสูตรขนมเบเกอรีที่เธอชื่นชอบ เช่น บราวนี่ คุกกี้ ออกมาวางจำหน่ายในร้าน และส่งขายออนไลน์ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ใน 1 วันต่อสัปดาห์จะมีการทำแกงหม้อใหญ่ขาย เพื่อให้เพื่อนๆ แชร์ค่ากับข้าวด้วย
ซึ่งนอกจากจะเลือกทำร้านเล็กในรูปแบบที่ชอบแล้ว ทั้งคู่ยังให้ความสำคัญใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย อาทิ การลดขนาดไซส์แก้วพลาสติกให้เล็กลง ในขณะที่ปริมาณน้ำกาแฟเท่าเดิม เพื่อช่วยลดปริมาณขยะ การเลือกใช้บับเบิ้ลกันกระแทกจากก้านกล้วยแทนโฟมหรือซองพลาสติก เพื่อย่อยสลายได้ง่าย และนำมาใช้ประโยชน์ปลูกต้นไม้ได้ต่อ
ถึงจะเล็ก แต่ก็เติบโต
โดยทั้งคู่เล่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้น ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นธุรกิจเล็กๆ แต่จริงๆ แล้วมีการเติบโตซ่อนอยู่ และสามารถตอบโจทย์ให้กับพวกเขาได้ ทั้งในแง่ของรายได้ ความเป็นอยู่ และความสุขในการได้ใช้ชีวิต
“หลายครั้งมากที่มีคนพูดว่า ทำไมเราถึงไม่ทำร้านให้ใหญ่โตจะได้ขายดีๆ หรือทำแค่นี้ เพราะรวยแล้วใช่ไหม จริงๆ อยากบอกว่าเราไม่ได้รวยอะไรเลย แค่เลือกกินเลือกใช้ และเลือกทำในสิ่งที่เราคิดว่าพอดีสำหรับตัวเอง และจริงๆ แล้วการเติบโตก็มีหลายรูปแบบ เราไม่จำเป็นต้องขนาดใหญ่ขึ้นก็ได้ แต่เราสามารถขยายออกไปได้ ก็เหมือนกับต้นไม้ที่หยั่งรากลึกอยู่ที่เดิม แต่สามารถแตกกิ่งก้านสาขาออกไปได้ ซึ่งทุกวันนี้เราไม่ได้มีแค่เฉพาะลูกค้าที่หน้าร้านเท่านั้น แต่ยังมีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในออนไลน์เข้ามาสั่งเมล็ดกาแฟ สั่งขนมจากเรา กระจายไปทั่วประเทศได้ เพื่อนบางคนทำธุรกิจเล็กๆ สไตล์เดียวกัน ไม่เคยเจอกันเลย แต่ก็ส่งของมาให้ใช้เป็นชุดผ้าฝ้ายทอมือบ้าง หน้ากากผ้าปักลายบ้าง เพราะชื่นชมในสิ่งที่เราทำ แค่นี้เราว่ามันก็มากพอแล้วสำหรับเรา” ทหารกล่าว
ซึ่งหากมองดูอย่างผิวเผินจริงๆ แล้วสิ่งที่ทหารและมนัสชนกทำอาจดูเหมือนกับความฝันของคนหนุ่มสาวทั่วไปที่วันหนึ่งคิดอยากมีร้านหรือธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมา มองดูเหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วทุกอย่างผ่านการคิดมาอย่างเคี่ยวกรำ ต้องตกผลึกทางความคิดของตัวเอง ต้องต่อสู้และชัดเจนในสิ่งที่ทำ ไม่ใช่แค่ฝันลอยๆ หรือฝันฟุ้งเท่านั้น โดยได้ฝากถึงน้องๆ หรือเพื่อนๆ ที่ฝันอยากมีธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองด้วยว่า
“จะทำอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่ร้านกาแฟหรือคาเฟ่เล็กๆ แต่อยากให้ชัดเจนในตัวเองก่อน ว่าเราจะใช้ชีวิตไปยังไง จะเลือกรูปแบบชีวิตแบบไหน ไปในทิศทางไหน เราไม่ได้เริ่มจากความไม่รู้หรือทำตามกระแส อย่างเราชอบกินกาแฟเราเลยอยากทำสิ่งนี้ เราไม่ใช่ร้านกาแฟมือรางวัล แต่เราเป็นร้านกาแฟที่สนุกกับกาแฟทุกแก้วที่ทำ เราไม่จำเป็นต้องใช้หลุยส์ วิตตอง ต้องกินกาแฟที่ดีที่สุด แพงที่สุด เรามองว่ากาแฟแต่ละสายพันธุ์ก็มีเสน่ห์ของตัวเอง บางวันลองเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าบ้างก็ได้ มีเสน่ห์เหมือนกัน ซึ่งทุกวันนี้นอกจากได้เปิดร้านกาแฟที่เราอยากทำแล้ว เรายังได้ทดสอบชีวิตตัวเองและเรียนรู้หลายอย่างเพิ่มขึ้นมาด้วย ได้อดทนกับความลำบาก ได้อดทนกับอารมณ์ตัวเอง มีสติในการใช้ชีวิตมากขึ้น ทุกวันนี้เลยยังมีความสุขและสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่” ทหารและมนัสชนกกล่าวทิ้งท้าย
โดยทุกวันนี้ทั้งคู่ยังมีความสุขดีอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อท่าบ่อ หากอยากเจอพวกเขาลองแวะไปกันได้ แต่อาจต้องลองเช็คเวลาเปิด-ปิดให้ดีๆ เพราะอาจมีบ้างบางวันที่พวกเขาอาจอยากออกไปเที่ยวเล่น ไปธุระไหนต่อไหนบ้างก็ได้ เพราะนี่คือ ไมตรีจิต #ร้านกาแฟช้าที่ปิดบ่อย นั่นเอง
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี