“เป็นผู้ประกอบการยากกว่าขับเครื่องบิน” เบื้องหลังแบรนด์ Hide & Seek ทรายแมวจากมันสำปะหลังเจ้าแรกของโลก

TEXT : กองบรรณาธิการ
PHOTO : Hide & Seek




              
     นี่คือเรื่องราวของอดีตศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  “อภินันท์ มหาศักดิ์สวัสดิ์”, “ดร.ลัญจกร อมรกิจบำรุง”  และ “วัฒนพร ตั้งสง่า”  ที่ปัจจุบันคนหนึ่งเป็นนักบิน คนหนึ่งเป็นนักวิจัย อีกคนมีประสบการณ์ด้านธุรกิจและการขาย มารวมตัวก่อร่างสร้างธุรกิจที่ชื่อ Hide & Seek” (ไฮด์แอนด์ซีค) ทรายแมวธรรมชาติจากมันสำปะหลัง นวัตกรรมสิทธิบัตรของคนไทย เจ้าแรกของโลก!


     SME Thailand มีโอกาสพูดคุยกับ “อภินันท์ มหาศักดิ์สวัสดิ์” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เวลตี้ ม็อกกี้ อินโนเวชั่น จำกัด หนึ่งในผู้ก่อตั้ง แบรนด์ Hide & Seek สิ่งที่เราสนใจไม่ใช่แค่ธุรกิจไอเดียใหม่ แต่ยังรวมไปถึงประวัติชีวิตไม่ธรรมดาของเขา ที่ในวัย  33 ปี แต่ผ่านมาแล้วนับ 10 อาชีพ เคยทำธุรกิจมาแล้วถึง 2 ตัว ปัจจุบันยังเป็นนักบินที่สวมหมวกผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมเจ้าแรกของโลกอีกด้วย มาทำความรู้จักเขาคนนี้ไปพร้อมกัน  



 

Q : ทราบมาว่าก่อนมาทำธุรกิจคุณมีโอกาสผ่านการทำงานมาหลายอย่าง ไม่ทราบว่าเป็นงานด้านใดบ้าง และส่งผลต่อการทำธุรกิจในวันนี้อย่างไร


A : ผมเรียนจบจากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ไม่ชอบทำงานในห้องแล็บเท่าไร ตัวผมเองมีความฝันอยากจะเป็นนักบิน แต่ตอนนั้นสถานการณ์ธุรกิจสายการบินยังไม่ค่อยดีนัก เลยอยากลองไปทำงานที่ต่างประเทศดู พอดีมีรุ่นพี่ชวนไปทำงานจัดสวนที่อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำได้ประมาณ 1 ปี จากนั้นก็ไปเรียนภาษาและทำงานที่ซิดนีย์ ออสเตรเลียต่ออีกประมาณ 1 ปี ตอนอยู่ออสเตรเลียก็ทำงานพาร์ตไทม์หลายอย่างที่คิดว่าอยู่เมืองไทยน่าจะไม่มีโอกาสได้ทำ อย่าง ไปล้างจาน เสิร์ฟอาหาร แจกใบปลิว ไปทำงานร้านนวด เก็บขยะที่สนามกีฬาก็มี ถือว่าเป็นประสบการณ์และได้พัฒนาภาษาของผมเองไปด้วย เพราะจริงๆ ผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษเลย จนวันหนึ่งที่คิดว่าอยากจะเป็นนักบิน ก็ต้องพยายามเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมรัก ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ บางอย่างที่เราคิดว่าทำไม่ได้ เราอาจแค่ไม่ได้ชอบมันจริงๆ ก็เลยมีความพยายามไม่พอเท่านั้นเอง


      จากนั้นผมก็กลับมาสอบนักบิน แต่สอบเป็นลูกเรือไปด้วย ปรากฏก็ได้เป็นลูกเรือแบบงงๆ ทำได้ประมาณปีครึ่งแล้วผมก็สอบ Student Pilot ได้ (การสอบชิงทุนของสายการบิน) ก็ไปเป็นนักบินฝึกหัดอยู่ที่โรงเรียนการบิน ก่อนมาทำงานสายการบินแรกอยู่ประมาณ 4 ปี และย้ายมาอีก 2 สายการบิน เพราะอยากบินเครื่องบินลำใหญ่และบินไกลขึ้น ผมมองว่าตัวผมเองไม่ได้เกิดมาเหมาะสำหรับอะไรตั้งแต่แรกหรอก แต่อาศัยว่าถ้าเกิดเรารักอะไรก็จะพยายามทำตัวเราให้เหมาะกับการเป็นแบบนั้น และหมกมุ่นกับมันมากๆ เราก็จะทำได้ดีเอง


     ชีวิตผมมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก อาชีพการงานที่ทำก็เปลี่ยนบ่อย ตอนนี้ผมอายุ 33 ปี ทำมาแล้วน่าจะเกิน 10 งาน ทั้งที่บางทีงานเดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่จุดที่ผมใช้ในการตัดสินใจทำอะไรก็คือ  ผมจะถามตัวเองว่าถ้าวันนี้ไม่ตัดสินใจเปลี่ยน หรือทำแบบนี้แล้ววันหน้าผมจะกลับมาคิดเสียใจไหม ถ้าเกิดคิดแล้วว่าวันหน้าผมจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจนี้ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย โอเคผมจะลองทำ เหมือนกับตอนที่ผมตัดสินใจมาทำทรายแมวในวันนี้



 

Q : ทรายแมวเป็นธุรกิจแรกที่ทำหรือไม่ แล้วทำไมถึงสนใจมาทำธุรกิจนี้ มองเห็นโอกาสจากอะไร


A : จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ผมเคยไปหุ้นกับเพื่อนทำโฮสเทลแถวพญาไท แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร เพราะผมเองไม่ได้ดูเป็นหลักด้วย จนมาทำทรายแมวถือว่าเป็นธุรกิจแรกที่ผมได้เริ่มทำอะไรเองตั้งแต่ต้น โดยธุรกิจนี้เริ่มจากผมกับ ดร.ลัญจกร ซึ่งปัจจุบันเป็นนักวิจัยอยู่ที่จุฬาฯ มีความสนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนเขาไปจบปริญญาเอกมาจากประเทศออสเตรียที่ยุโรป กลับมาเมืองไทยก็มีโอกาสทำวิจัยให้กับบริษัทน้ำตาลเรื่องเอาวัตถุดิบที่เหลือจากอุตสาหกรรมน้ำตาล มาใช้ให้เกิดประโยชน์ จึงเห็นโอกาสจากการนำมันสำปะหลังมาพัฒนาเป็นทรายแมว


      ซึ่งในตอนนั้นเองกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มีข่าวออกมาว่าตลาดสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตต่อเนื่องและตลาดใหญ่ที่สุดของโลกก็คือประเทศรัสเซีย ซึ่งทางกรมฯ อยากส่งเสริมให้คนไทยส่งออกทรายแมวไปยังรัสเซีย เพราะถ้าย้อนไปตอนนั้นยังไม่มีแบรนด์ทรายแมวที่ผลิตในประเทศไทยเลย เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของทรายแมวในบ้านเราที่ใช้กันอยู่นำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งหมด โดยเฉพาะจีน แต่วัตถุดิบที่ใช้ผลิตทรายแมวแบบเดิมจะมีสารที่ส่งผลต่อสุขภาพของน้องแมวในระยะยาว ขณะที่ในปัจจุบันมีเทรนด์ที่คนเริ่มเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนคนในครอบครัวมากขึ้น จึงพยายามเลี้ยงให้มีคุณภาพ และเลือกสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น จึงเริ่มเกิดการพัฒนาทรายแมวโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติตามมา ไม่ว่าจะเป็นทรายแมวที่ทำมาจากหญ้า เต้าหู้ ซังข้าวโพด ฯลฯ ที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ในไทยก็มีบริษัทที่ทำทรายแมวจากซังข้าวโพดด้วย


       ระหว่างนั้นพวกเราเองก็พยายามศึกษาและทดลองทำอยู่ โดยที่ผมจะใช้เวลาช่วงวันหยุดไปซื้อวัตถุดิบต่างๆ ซื้อเครื่องบด เครื่องตัดมาทดลองกันเองในห้องแล็บที่บ้านดร.ลัญจกร ทดลองไปเรื่อยๆ ทำอยู่เกือบ 2 ปี จนในที่สุดก็ได้สูตรทรายแมวธรรมชาติจากมันสำปะหลังของเรา ซึ่งพูดได้ว่าเป็นครั้งแรกในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะยังไม่มีใครทำมาก่อน และเราก็ได้จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นนวัตกรรมสิทธิบัตรของคนไทย เจ้าแรกของโลก โดยที่ได้เพื่อนจากจุฬาฯ ที่เคยทำโฮสเทลด้วยกันคือ วัฒนพร ซึ่งเก่งด้านการขายและธุรกิจมาช่วยเราอีกแรง



               

Q : ทรายแมวจากมันสำปะหลัง ต่างจากทรายแมวที่ทำจากวัสดุอื่นอย่างไร มีความน่าสนใจอย่างไร       


A :  จริงๆ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการส่งออกมันสําปะหลังสูงสุดในโลกติดต่อกันมายาวนานมาก แต่ว่าใน 3 ปีหลังมานี้เราถูกกดดันเรื่องราคาเพราะผู้ซื้อหลักอย่างจีน เริ่มไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเรามากขึ้น ทำให้ตัวเลขการส่งออกของเราลดลง นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่เราเลือกมันสำปะหลังมาพัฒนา เพื่อส่งเสริมให้มีการนำมันสำปะหลังมาทำอย่างอื่นที่เพิ่มมูลค่าได้มากขึ้น ซึ่งหลังจากนำทรายแมวจากสําปะหลังมาทดสอบพบว่า สามารถเก็บกลิ่นได้ดีกว่าทรายทั่วๆ ไป และด้วยความที่ทำมาจากมันสำปะหลัง 100 เปอร์เซ็นต์ ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่แต่งสีแต่งกลิ่น ฉะนั้นถ้าน้องแมวเผลอทานเข้าไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีโทษหรือเป็นอันตรายแต่อย่างใด และยังสะดวกสบายตรงที่สามารถทิ้งชักโครกได้เลย ที่สำคัญยังสามารถใช้งานกับห้องน้ำอัตโนมัติได้ด้วย


       เราพยายามออกแบบให้ใช้ได้กับทุกแบบ โดยวิธีคิดคือดูว่าทรายแมวแต่ละแบบมันมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร แล้วพยายามเอาข้อดีทุกอย่างมารวมไว้ที่เรา โดยตั้งสโลแกนว่า “เป็นมิตรต่อแมวผู้กลบ และทาสผู้เก็บ” ใช้ชื่อแบรนด์ว่า “Hide & Seek” (ไฮด์แอนด์ซีค) มาจากเวลาน้องแมวไปอึเขาจะมีธรรมชาติในการขุดแล้วก็กลบ เหมือนซ่อนไว้ แล้วเวลาคนไปตักก็จะไปขุดหา ก็เหมือนน้องแมวเขามาซ่อนแล้วทาสแมวก็ไปค้นหา เหมือนคำว่า Hide (ซ่อน) และ Seek (ค้นหา) นั่นเอง



 

Q : วันนี้คุณก็ยังเป็นนักบินอยู่ แล้วมาทำให้แบรนด์  Hide & Seek เกิดและเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร


A : มันเริ่มจากว่าช่วงโควิดผมไม่ได้บินก็เลยมีเวลา ช่วงนั้นเรามีสูตรเรียบร้อยแล้ว ผมใช้เวลา 3 เดือน ในการไปจดทะเบียนบริษัท ทำ Business Plan ออกมาทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน วิเคราะห์ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ ระยะเวลาคืนทุนเป็นอย่างไร ผมมองว่าต้องใช้เงินให้น้อยที่สุดและต้องเข้าใจมันให้มากที่สุด ก็เลยศึกษาเองทั้งหมดในทุกๆ เรื่อง รวมถึงการติดต่อโรงงานขอเช่าพื้นที่ การจัดตั้งโรงงาน ขอใบอนุญาต สั่งเครื่องจักรผลิต จากนั้นก็มาออกแบบแพ็กเกจจิ้ง สร้างแบรนด์ อย่างโลโก้ที่เป็นรูปแมวก็ได้อาจารย์หมอที่จุฬาฯ ซึ่งเป็นน้องของวัฒนพรเป็นคนวาดไว้ คนที่ออกแบบอันแรกก็เป็นรุ่นน้องที่นิเทศจุฬาฯ ด้วยความที่ผมเป็นเด็กกิจกรรมมาก่อน ทำให้รู้จักคนเยอะพอสมควร จึงได้พี่ๆ น้องๆ มาช่วยทำให้ธุรกิจนี้เกิดขึ้นมา


       ตอนนี้ตั้งแต่ตั้งบริษัทมาเรามียอดขายสูงขึ้นเฉลี่ย 17 เปอร์เซ็นต์ ต่อเดือน เรียกว่าธุรกิจโตขึ้นทุกเดือน ซึ่งนอกจากขายในแบรนด์ของเราเองแล้ว ก็มีรับทำ OEM ให้กับแบรนด์ทรายแมวของโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งด้วย โดยเราผลิตให้เขาใช้ในโรงพยาบาล และส่งออกไปต่างประเทศภายใต้แบรนด์ของเขา ในส่วนแบรนด์เราเองก็มีส่งออกในช่องทางอื่นๆ โดยปัจจุบันเราส่งออกไปที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว และมีส่งตัวอย่างไปทดสอบตลาดที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป้าหมายต่อไปของเราคือ รัสเซียและตะวันออกกลาง โดยรัสเซียเป็นประเทศที่เลี้ยงแมวเยอะมาก ส่วนตะวันออกกลางก็เป็นประเทศที่มีกำลังซื้อ ซึ่งเมื่อมองศักยภาพในตลาดโลก มองว่ายังมีโอกาสเพราะผลิตภัณฑ์ของเราเป็นมิตรและดีที่สุดตัวหนึ่งของโลก ด้วยความที่ใช้ง่ายและวิธีใช้ก็เป็นเหมือนทรายดั้งเดิมทั่วไป เพียงแต่ปลอดภัยกว่า จึงมองว่ายังมีโอกาสในตลาดโลก โดยเป้าหมายคือ อยากเห็น Hide & Seek ไปได้ทั่วโลก ทำให้คนทั่วโลกได้รู้ว่าทรายแมว Hide & Seek ที่จำหน่ายอยู่ในตลาด เป็นทรายแมวที่ผลิตจากมันสำปะหลังของประเทศไทย เป็นแบรนด์ของคนไทย และดีที่สุดในโลก ณ ตอนนี้
 

       ปัจจุบันกำลังการผลิตของเราอยู่ที่ประมาณ 5,000-10,000 ชิ้นต่อเดือน โดยที่เราสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 1-2 เท่า ภายในเวลาแค่ 2 เดือน ฉะนั้นไม่มีปัญหาเรื่องกำลังการผลิตหากมีความต้องการเพิ่มขึ้นในอนาคต ขณะที่ ณ ปัจจุบันเราใช้มันสำปะหลังอยู่ที่ประมาณเดือนละประมาณ 30 ตัน โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ประมาณ 10 ล้านบาท



 

Q : ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง ในความคิดของคุณการเป็นผู้ประกอบการยากหรือง่ายอย่างไร เมื่อเทียบกับหลายๆ อาชีพที่ผ่านมา


A : สำหรับผมการเป็นผู้ประกอบการมันยากกว่าการขับเครื่องบินด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเราเลือกที่จะทำมันแล้ว ผมก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่และทำให้ดีที่สุด เพราะผมอยากให้ประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นผู้ส่งออกทรายแมว อยากให้คนทั่วโลกได้รู้ว่าทรายแมวที่ผลิตโดยมันสำปะหลังของคนไทย เป็นทรายแมวที่ดีที่สุดในโลกในตอนนี้ ที่ผ่านมาผมเลยต้องพยายามอย่างหนัก ผมเชื่อว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ฉะนั้นอยากทำอะไรก็ต้องรีบทำ ถ้ามีโอกาสทำก็ต้องทำเลย อย่าไปคิดว่าเราทำไม่ได้หรอก ผมยึดเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้เสมอ เป็นคำสอนสำหรับคนที่อยากทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ นั่นคือ อิทธิบาท 4  “ฉันทะ” (ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น) “วิริยะ” (ความพากเพียรในสิ่งนั้น) “จิตตะ” (ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น) และ “วิมังสา” (ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น)


       ฉันทะก็คือความพอใจ คือเราต้องชอบในสิ่งที่เราจะทำก่อน ต้องหมกมุ่นกับมันก่อน วิริยะก็คือความขยัน ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็ต้องมีความขยัน เพราะต่อให้เราชอบสิ่งนั้นแค่ไหนแต่ถ้าเราขี้เกียจทำ มันก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ จิตตะ ก็คือต้องมีความตั้งใจ และโฟกัสกับมัน มีสมาธิในการทำ ไม่ว่าจะเป็นการหาความรู้ หรือว่าการที่จะคิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา สุดท้ายวิมังสา คือการคิดตึกตรอง คิดแล้วคิดอีกบ่อยๆ ซึ่งความรัก ความขยัน ความมีสมาธิ แล้วก็ต้องทำมันซ้ำบ่อยๆ ด้วย แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จได้
               




 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย