ไอเดียสุดแซ่บ “ทานไทย” จับ Plant-based มาคู่กับ Thai Street Food ปั้นโมเดลธุรกิจใหม่ป้อนสู่ตลาดโลก

TEXT : กองบรรณาธิการ
PHOTO : ทานไทย





      ย้อนกลับไปในวันที่ประเทศไทยยังไม่มีผู้ผลิต Plant-based หรือเนื้อที่ทำมาจากพืชเลยแม้แต่แบรนด์เดียว สินค้าส่วนใหญ่ยังมาจากการนำเข้า ทั้งจากฝั่งอเมริกา ยุโรปและเอเชีย กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำงานด้านการออกแบบนวัตกรรม อย่าง “อรณา อนันตชินะ” "กวิสรา อนันต์ศฤงคาร" และ "ชนิกา พุดหอม" เกิดไอเดียที่จะทำร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ในคอนเซปต์ Plant-based Thai Street Food ขึ้น โดยใช้เนื้อจากพืชมาปรุงเป็นอาหารรสแซ่บสไตล์สตรีทฟู้ดแบบไทยๆ ที่ไม่ใช่แค่สาวกวีแกนหรือสายเจเท่านั้น แต่คนรักสุขภาพก็สามารถเข้าถึงได้


      และนั่นคือที่มาของ “ทานไทย” (Thaanthai) อาหารไทยสตรีทฟู้ดที่ทำมาจากพืชรายแรกของไทย เมื่อปลายปี 2018 โดยได้เชฟ  "ขุนกลาง ขุนขันธิน" มานั่งเป็น Head Chef แจ้งเกิดธุรกิจใหม่ไปพร้อมกับพวกเขา




 
เมื่อ Plant-based มาเจอกับ Thai Street Food


     แม้ในประเทศไทย Plant-based Food หรือกลุ่มอาหารที่ทำมาจากพืชที่ให้โปรตีนสูง เช่น ถั่ว เห็ด สาหร่าย อัลมอนด์ ฯลฯ  ยังดูเป็นเรื่องใหม่ แต่ในต่างประเทศเทรนด์นี้เกิดขึ้นมาพักใหญ่แล้ว โดยมีหลายๆ แบรนด์ที่ลุกมาทำเนื้อจากพืช รวมถึงแบรนด์ของฮ่องกงอย่าง OmniPork ที่เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และไอเดียของทานไทยก็จุดประกายขึ้นจากจุดนั้น


       “พวกเราทำงานด้าน Design Innovation  ในตอนนั้นได้ให้คำปรึกษาลูกค้าที่กำลังมองหา Business Model  ใหม่เลยเสนอตัวนี้ไป เพียงแต่ด้วยความที่ลูกค้าอาจจะยังไม่ได้สนใจมากนัก แต่เรามองเห็นโอกาสว่า ไอเดียนี้ยังไม่มีใครทำเลยในเมืองไทย ก็เลยหยิบตัว Plant-based Meat มาทดลองทำอะไรดู เรานั่งคุยกันว่าจริงๆ แล้วอยากให้เมนูอาหารที่ทำมาจาก Plant-based ตอบโจทย์คนที่ไม่ใช่แค่คนที่ทานวีแกนเท่านั้น แต่อยากจะให้คนที่เขากินอาหารทั่วๆ ไปอย่างเราๆ ซึ่งกังวลเรื่องสุขภาพได้เข้าถึงของพวกนี้มากขึ้นด้วย  เลยมองถึงรสชาติของอาหารที่เป็นสตรีทฟู้ดแบบไทยๆ ที่เรากินกันทุกวัน  ซึ่งน่าจะถูกปากคนไทย และเมนูอาหารไทยเองก็ดังไปทั่วโลกอยู่แล้ว เลยจับเมนู Thai Street Food  มาลองทำกับวัตถุดิบที่เป็น Plant-based เทสต์จนได้รสชาติที่อร่อยก็เริ่มออกขาย”



 

เรียนรู้จากการลงมือทำ เติมเต็มในสิ่งที่ขาด


     SME รุ่นเก่าอาจเริ่มธุรกิจด้วยความกล้าๆ กลัวๆ และใช้เวลานานกว่าจะแจ้งเกิดธุรกิจใหม่สักตัว แต่ถ้าเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ พวกเขาเลือกที่จะลงมือทำและทำทันที แล้วค่อยๆ เรียนรู้ไปกับมัน


       “ตอนนั้นเราทั้ง 3 คนไม่ได้มีธุรกิจร้านอาหารหรืออยู่ในอุตสาหกรรมอาหารมาก่อนเลย เราแค่มีไอเดียและอยากจะทดลองก็เริ่มต้นด้วยการออกแบบเมนูสตรีทฟู้ด อย่าง พวกผัดกะเพราที่ทำมาจาก Plant-based ดูว่ามันจะอร่อยได้เทียบเท่าผัดกะเพราที่เรากินกันอยู่ทุกวันหรือเปล่า ทำออกมาและทดสอบกันเองภายในว่ารสชาติเป็นยังไง คุยกับเพื่อนๆ และคนรอบข้างว่าถ้าเรามีไอเดียประมาณนี้เขาจะสนใจไหม ลองเอาตัวเมนูที่ทำให้คนรอบข้างเริ่มชิม จนได้สูตรที่เรามั่นใจแล้วว่าสามารถขายให้กับคนที่กินวีแกนและคนที่กินสตรีทฟู้ดทั่วไปได้ ก็เริ่มขาย โดยเริ่มจากขายออนไลน์และทดลองขายในอีเวนต์เกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพ และตั้งราคาขายไว้ในระดับเดียวกับกลุ่มอาหารคลีน เนื่องจากตัววัตถุดิบอย่าง Plant based เองค่อนข้างมีราคาสูง และเรายังเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีด้วยไม่ว่าใบกะเพราหรือข้าวที่เป็นออร์แกนิก มาจากฟาร์มเกษตรอินทรีย์ของไทย (Local Farmer) เพื่อตอบคุณค่าในส่วนนี้ด้วย”
 

      ทานไทยเริ่มจากใช้บริการครัวให้เช่า มีเชฟมาปรุงอาหารให้ ช่องทางขายหลักคือเพจ Facebook และ Instagram (Thaanthai) ไม่ได้ขายผ่านแพลตฟอร์ม ลูกค้าออเดอร์มาก็ติดต่อผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไปส่งสินค้าให้ โดยช่วงแรกมีออเดอร์อยู่ประมาณ 100 กล่องต่อวัน


      แม้จะดูเหมือนมีสัญญานที่ดี แต่ทั้ง 3 คนยอมรับว่า อุปสรรคสำคัญในการทำธุรกิจของพวกเธอก็คือการขาดความรู้และพื้นฐานในด้านอุตสาหกรรมอาหาร ทำให้การทำอะไรหลายอย่างค่อนข้างช้า เพราะเมื่อได้ลงมือทำจริงๆ ถึงได้พบว่า Food Industry ยังมีอินไซด์อะไรหลายๆ อย่างที่คนนอกวงการยากที่จะรู้


      และนั่นคือเหตุผลที่เลือกนำตัวเองไปเข้า “โครงการ SPACE-F” โปรแกรมการพัฒนา Startup ด้านอาหารในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นโครงการที่ปั้นฟู้ดเทคระดับโลกแห่งแรกของไทย เพื่อเติมเต็มความรู้ในสิ่งที่ขาด และเชื่อมต่อเครือข่ายคนในอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อให้ความฝันของพวกเธอได้ไปต่อ



 

เมื่อสนามเปลี่ยน ได้เวลาปรับโมเดลธุรกิจ


      วันแรกที่เริ่มทำอาจไร้เงาคู่แข่ง แต่ผ่านมาไม่นานสนามที่เคยหอมหวานกลับเต็มไปด้วยการแข่งขัน ซึ่งไม่ใช่รายเล็กรายน้อย แต่คือคู่แข่งรายใหญ่  รายที่มีความพร้อม และทุนหนากว่าผู้ประกอบการตัวเล็กๆ อย่างพวกเขา ผู้ประกอบการ Plant-based มีโรงงานผลิตในประเทศไทย ใครใช้สินค้านำเข้าต้นทุนก็สูงกว่า ร้านอาหารเชนใหญ่ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีทั้งครัวและสาขาจำนวนมากเริ่มมีขายอาหาร Plant-based  ทานไทยไม่ได้เป็นเจ้าเดียวอีกต่อไป ไม่ใช่ผู้เล่นหลัก และไม่ได้มีอำนาจในการทำการค้าหรือการแข่งขันอะไรขนาดนั้น ถึงจุดที่เริ่มมีคู่แข่งพวกเขายอมรับว่า “เกินกำลัง” ก็ได้เวลาต้องปรับเกมรบใหม่


       “สนามมันเปลี่ยนไป เราก็ต้องปรับตัว โดยตอนแรกเราเริ่มจาก Product แล้วพอเริ่มมี Plant-based มากขึ้น คนเริ่มเอามาทำเมนูอาหารไทยเยอะขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะคิดว่ารสชาติแตกต่าง แต่เอาจริงๆ แล้ว  ด้วยกำลังของช่องทางการจัดจำหน่ายที่เขามีมากกว่าเรา เราก็สู้ไม่ได้จริงๆ และเราก็ไม่ได้มีเงินที่จะไปทำการตลาดอะไรขนาดนั้นด้วย เลยมามองว่า คำว่า  Thai Street Food  มันไม่ใช่แค่เรื่องของตัวอาหารอย่างเดียว แต่มีเรื่องของไลฟ์สไตล์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเราสามารถนำมาใส่เพิ่มให้เป็นประสบการณ์ในการทานอาหาร Thai Street Food ที่สนุกขึ้น เราอยากสร้างนิยามใหม่ให้กับมุมมองของ  Plant based  Thai Street food ที่คนอาจยังไม่เคยเห็นมัน  ให้สนุกกว่าเดิม ทันสมัยกว่าเดิม”


      วิธีการในการสื่อสารเรื่องอาหารให้เป็นไลฟ์สไตล์และของใหม่ ไม่ใช่การไปออกงานแสดงสินค้าอาหาร แต่พวกเขาเลือกนำตัวเองไปปรากฎตัวในงาน Bangkok Design Week  เทศกาลงานออกแบบกรุงเทพ เพื่อให้คนสัมผัส Plant based Meat ในมุมมองใหม่ ผ่านความคิดสร้างสรรค์และความทันสมัย และหลังจากนี้ทานไทยจะเปลี่ยนไป


     ไม่ใช่แค่ร้านอาหารที่ขายเมนู Plant based ในรูปแบบสตรีทฟู้ด แต่คือการสร้างประสบการณ์และไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ผ่านร้านอาหารที่เป็น Specialty plant-based Thai Street Food ซึ่งจะทำในรูปแบบแฟรนไชส์ และเป้าหมายคือต่างประเทศ


      “เราอยากทำเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหาร Plant-based Thai Street Food โดยที่ตัวร้านมีความเป็นไลฟ์สไตล์ เหมือนกับที่วันนี้เราจะเห็นร้านที่เป็น Specialty Coffee เยอะมาก เราก็อยากเป็น Specialty Plant-based Thai Street Food ร้านที่คนจะไปนั่งชิลล์ได้ ไปพูดคุยกันได้ เพียงแต่รูปแบบอาหารจะเป็นลักษณะนี้ มีประสบการณ์ที่ไม่ใช่แค่ร้านอาหารทั่วไป นั่นคือไอเดียคอนเซปต์ของสิ่งที่เราอยากจะเป็น” พวกเธอบอกความมุ่งหมาย




 
มองหาพันธมิตรทางธุรกิจเติมเต็มฝัน พร้อมโบยบินสู่ต่างประเทศ


      ในวันนี้ทานไทยอยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) มาช่วยเติมเต็มความฝันของพวกเขา โดยเฉพาะต่อสายป่านด้านเงินทุนให้ยาวขึ้น เพื่อนำพาไอเดียใหม่พร้อมโบยบินสู่ต่างประเทศ


      “สำหรับบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารอยู่แล้ว และกำลังมองหาไอเดียธุรกิจใหม่ๆ อยากสร้างสิ่งใหม่ๆ หรือต้องการหา New s-curve ให้กับธุรกิจของตัวเอง เรามองว่าทานไทยน่าจะไปตอบโจทย์เขาได้ ในขณะที่เขาเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Food Industry อยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นจุดที่เติมเต็มเราได้เช่นกัน ก็น่าจะไปด้วยกันได้ดี ซึ่งสิ่งที่เราทำมองว่ามันเป็นเหมือน New Business Model อันใหม่ ที่เชื่อว่าจะตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคตที่ต้องการประสบการณ์ที่มากกว่าแค่ความอร่อยหรือว่าเรื่องของสุขภาพ แต่เรากำลังสร้างนิยามใหม่ กำลังสร้างคอมมูนิตี้ใหม่ ซึ่งนี่เป็น Brand Value ที่สำคัญของเรา”


      เมื่อถามถึงเป้าหมายในอนาคตหากค้นพบ Strategic Partner ที่ใช่ ทั้ง 3 คนบอกเราว่า อยากเป็นแบรนด์ที่ไม่ได้เติบโตแค่ในเมืองไทย แต่อยากไปเติบใหญ่ในตลาดโลก อยากให้คนทั่วโลก ที่เมื่อนึกถึงอเมริกันฟู้ดจะนึกถึงเบอร์เกอร์ ก็อยากให้เวลาคิดถึงประเทศไทยหรือว่าอาหารไทย ก็อยากให้นึกถึงทานไทย ที่นำเสนอทั้งประสบการณ์ วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์ของความเป็นไทย เป็น Specialty Plant-based Thai Street Food ที่ทุกคนทั่วโลกจะคิดถึง
 

       เมื่อให้ฝากข้อแนะนำสำหรับคนที่จะเข้ามาในสนาม Plant-based Food ในฐานะคนที่ลงเล่นมาก่อน พวกเธอบอกว่า ด้วยความที่มันยังเป็นธุรกิจที่มาเร็ว และเป็นช่วงเริ่มต้น ในขณะที่เมืองไทยเองก็ยังไม่ใช่ตลาดแมส ฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนจะต้องมีเลยคือต้องเตรียมเงินทุนประมาณหนึ่ง ต้องมีกำลังที่มากพอที่จะใช้ลงทุนในช่วงแรก และต้องยอมรับว่าคงไม่ได้ทำกำไรในเร็ววันแน่นอน และจำเป็นมากๆ ที่จะต้องทำความเข้าใจกับลูกค้าที่แม้จะมีน้อยแต่ว่ามีความสำคัญ เพราะว่าเขาจะเป็นคนที่บอกต่อและทำให้ธุรกิจของเราไปต่อได้ นอกจากนี้จุดขายของสินค้ายังมีความสำคัญ เพราะถ้าเราทำเหมือนคนอื่นก็จะไม่มีความแตกต่าง ต้องตอบตัวเองว่าเราอยากจะเป็นผู้ตามเทรนด์หรือผู้นำเทรนด์ เพราะถ้าแค่ตามเขา สุดท้ายก็จะต้องไปแข่งขันกันในเรื่องราคา แต่ถ้าเราจะนำเทรนด์ เราจะแข่งกันที่ความยูนีค และคุณค่าที่เราส่งมอบให้กับลูกค้าของเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเป็นแบบไหน พวกเธอทิ้งท้ายไว้แค่นั้น
 
 




 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

พลิกตำรายา 150 ปี สู่อาณาจักรสุขภาพแห่งอนาคต ทายาทขุนอภิบาลบ่อพลับ ร่วมสร้างธุรกิจครอบครัว

เป้าหมายการทำธุรกิจของหลายคนอาจเป็นเรื่องรายได้ แต่สำหรับ ต๊อก-ปีรัชด์ อนันตพันธ์ และ แต๊ก-ปานชาติ มิตรกูล มีเป้าหมายสร้างแบรนด์ "อภิบาลบ่อพลับ" เพื่อให้ทุกคนได้ระลึกถึงตำรายาไทย 150 ปี จากบรรพบุรุษของเขาที่ชื่อ ขุนอภิบาลบ่อพลับ

tISI แบรนด์แฟชั่นย้อมสีธรรมชาติ ส่วนผสมลงตัวงานคราฟต์ไทยกับดีไซน์ร่วมสมัย ที่ฝันว่าวันหนึ่งจะไปตั้งขายอยู่กลางกรุงปารีส

ปัญหาหนึ่งของงานคราฟต์ไทย ที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นงานทรงคุณค่า ก็คือ ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้จริงอยู่ในชีวิตประจำวันได้ แต่อาจไม่ใช่กับ tISI (ธิซายด์) แบรนด์แฟชั่นไทยน้องใหม่ที่มองว่าไม่จำเป็นต้องอนุรักษ์ หากสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการอยู่แล้ว

สานต่อตำนาน 70 ปี ทายาทรุ่น 3 ปัดฝุ่น รร.แสงทองเฮอริเทจ สู่แลนด์มาร์คใหม่แห่งนครพนม

เพราะความฝันที่จะสานต่อโรงแรมเก่าแก่ "แสงทอง" ที่บรรพบุรุษสร้างขึ้น กรรณิการ์ หนูห่วง ทายาทรุ่นที่ 3 จึงตัดสินใจกลับ จ.นครพนม เพื่อหวังฟื้นฟูโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโบราณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และโจทย์หินมากมาย